[รีวิวปี 2013]
วันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะเอารีวิวที่พิเศษสุดๆตอนนี้มาให้ทุกคนได้ชมกันฮะ
สารภาพก่อนเลยว่าถึงจะเป็นคนชอบท่องเที่ยวถ่ายรูปรีวิวโรงแรมมามากมาย แต่ก็ไม่เคยคิดว่าความฝันในการไปมัลดีฟส์มันจะเป็นจริงขึ้นมา
จนอะไรหลายๆอย่างในชีวิตเริ่มลงตัวขึ้น การเริ่มต้นชีวิตคู่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้การตัดสินใจไปมัลดีฟส์ง่ายขึ้น แล้ววันนี้ก็มาถึง …
รีวิวนี้เจ้าของบล็อคจ่ายเองเจ็บเองและมีประเด็นก่อนจะได้ไปเที่ยวกับเอเจ้นท์ Atoll Paradise
แต่เพื่อไม่ให้เสียอรรถรสในการเขียนของตัวเองและในการรับชมของเพื่อนๆก็ข้ามๆเรื่องนั้นไปนะฮะ
การเดินทางครั้งนี้เลือกเดินทางโดยการบินตรงไปที่มัลดีฟส์เลยฮะ
โชคดีที่ช่วงที่กำลังแพลนทริปอยู่ทางบางกอกแอร์เวย์ซึ่งเป็นสายการบินเดียวที่บินตรงจากสุวรรณภูมิไปมัลดีฟส์ได้ออกโปร 45 ปีบางกอกแอร์เวย์
ซึ่งก็ถูกลงกว่าราคาปกติร่วมๆ 50% ก็เลยตัดสินใจรีบจองเลย
รูปนี้เป็นเล้าจน์ระหว่างประเทศของบางกอกฮะ
ช่วงที่ไปเป็นช่วงปลายเดือนพฤษภาคมแล้วซึ่งก็ถือว่าเข้าช่วงโลว์ของมัลดีฟส์แล้ว
แอบหวั่นใจเรื่องสภาพอากาศพอสมควรฮะว่าจะเจอฝนบ้างมั๊ยซึ่งเดี๋ยวตามไปดูกัน
แอบพูดถึงเรื่องเอเจ้นท์ที่มีปัญหาหน่อยฮะ เนื่องจากผมโดนยกเลิกบุ๊คกิ้งจาก AP ก่อนไปแค่ประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนเดินทาง
ทางสุดท้ายก็คือเลือกที่จะเล่าเหตุการณ์ให้ทางโรงแรมที่เราจองไว้กะเอเจ้นท์ฟังและขอต่อรองราคาให้ลงมาให้ใกล้เคียงกับที่เราจองผ่านทางเอเจ้นท์
คุยดีลราคากันหลายรอบเพราะตอนแรกราคาที่ทางโรงแรมให้เรามาสูงกว่าที่เราจ่ายไปกับทางเอเจ้นท์อยู่พอสมควรซึ่งช้อยส์ก็มีอยู่แค่ไม่กี่ทางคือ
– เลื่อนตั๋ว ซึ่งใจจริงก็ไม่อยากเพราะวางแพลนจนจะไปอยู่อีกไม่กี่วันแล้วก็อยากไปนะ
– ดีลเอง อันนี้พยายามมากที่จะให้ได้ราคาใกล้เคียงและอยากได้โรงแรมเดิม
ซึ่งก็สูงกว่าราคาจากเอเจนท์ 200 กว่าเหรียญก็เลยตัดสินใจจองที่เดิมทันที
ปล. ระหว่างนั้นก็ได้ติดต่อกับทางบางกอกแอร์เวย์เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และทางบางกอกแอร์ก็ยินดีจะเลื่อนตั๋วให้ 1 เดือน
ซึ่งถึงไม่ได้เลื่อนแต่ก็ต้องขอบคุณทาง PG มา ณ.ที่นี้ด้วยนะครับ
ไปกินข้าวต้มมัดกันดีกว่า
ป๊อบคอร์นมั๊ยฮะ
ได้เวลาบอร์ดดิ้งแล้วก็เดินไปที่เกทกันได้เลย
เดี๋ยวนี้ PG มีการรีไทม์ใหม่แล้วนะครับ ช่วงที่ผมไป PG เริ่มบินเช้าแล้วฮะ เครื่องออก 9.30 น.
PG หรือบางกอกแอร์เวย์เดี๋ยวนี้มีบินตรงไปมัลดีฟส์อาทิตย์ละ 5 เที่ยวบินแล้วนะครับ
จะมีบินวันละ 1 เที่ยวโดยจะไม่มีไฟล์ทแค่วันเสาร์และวันอังคารเท่านั้น ถือว่าสะดวกมากในการเลือกวันเดินทางฮะ
เมื่อก่อน PG บินถึงมาเล่เย็นฮะทำให้เดินทางต่อไปโรงแรมเลยไม่ได้ ต้องเสียเวลาแห่งความสุขไปคืนนึงที่มาเล่เมืองหลวงของมัลดีฟส์
พูดถึงเรื่องการเดินทางฮะ พอเครื่องขึ้นทางพนักงานต้อนรับบนเครื่องก็จะเดินบริการแจกเอกสารให้กรอก
เพื่อใช้เข้าประเทศซึ่งถ้ากรอกไม่ถูกก็ถามพนักงานต้อนรับให้อธิบายหรือเขียนให้ก็ได้ครับ
ได้เวลาอาหาร ..
อาหารบนเครื่องของ PG ไฟล์ทระหว่างประเทศดูจะโอเคกว่าในประเทศนะครับ มีให้เลือกประมาณ 3 อย่างซึ่งมื้อนี้ผมก็เลือกทานจานที่เห็น
น่าจะเป็นหมี่ผัดไก่เนี่ยละครับแต่เรียกชื่อไม่ถูก ส่วนคุณแฟนหลับฮะบอกว่าไม่ทาน
เห็นอากาศบนเครื่องเป็นแอบนี้ก็อุ่นใจนิดนึงฮะ รอไปลุ้นที่มาเล่อีกทีว่าจะเป็นยังไง
เมื่อเครื่องเริ่มลดระดับก็แสดงว่าเวลาที่รอคอยเริ่มใกล้เข้ามาฮะ
จากที่สลึมสลืออยู่ก็รีบตื่นมาคว้ากล้องเพราะเห็นผู้โดยสารคนอื่นๆเริ่มขยับเขยื่อนตัวมองออกไปนอกหน้าต่างกัน
แล้วภาพที่ได้เห็นก็ทำเอาอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะรัวชัตเตอร์ไม่ยั้งฮะ
เครื่องแตะถึงพื้นโดยสวัสดิภาพฮะ ..
สนามบินนานาชาติมาเล่ จริงๆมีชื่อเป็นทางการฮะแต่จำไม่ได้และไม่ต้องรู้หรอกเนอะเพราะเราไม่ได้จะนอนที่นี่กันซะหน่อย
จะว่าไปสนามบินนานาชาติที่นี่ก็ใหญ่ประมาณสนามบินภูเก็ตเท่านั้นเองฮะ เครื่องแลนลงมาแล้ววิ่งไปจนสุดรันเวย์แล้วก็ต้องกลับตัวบนรันเวย์นั่นล่ะมาที่ลานจอด
อากาศดีมากฮะ สังเกตได้จากหน้าตาผู้ร่วมชีวิตซึ่งเป็นผู้ร่วมทริปในครั้งนี้ว่ามีความสุขแค่ไหน (รูปนี้ได้รับผ่านการอนุญาตแล้วก่อนนำมาลง 5555)
มาถึงขั้นตอนของตม.ฮะ การมาเที่ยวมัลดีฟส์ไม่ต้องขอวีซ่านะครับ
ดูเหมือนอาคารผู้โดยสารกำลังมีการก่อสร้างกันใหม่ฮะ ใช้เวลาไม่นานนักก็ได้เวลาสวัสดีมัลดีฟส์กันอย่างเป็นทางการแล้ววว
สิ่งต้องห้ามที่มัลดีฟส์ไม่ให้นำเข้าประเทศคือเหล้า ไวน์ สื่อลามกฮะ เพราะฉะนั้นไม่ควรนำไปนะฮะ
มีอีกเรื่องที่ได้เจอและอยากเตือนคือมีพี่คู่นึงเดินเข้ามาบอกกับผมว่ากล้องถ่ายรูปหายทำยังไงดี
ก็เลยไม่รู้ว่าหายจากตรงไหนซึ่งของมีค่าพวกนี้เราควรนำติดตัวขึ้นเครื่องไปด้วยนะครับไม่ควรโหลด
********************************************
พอรับกระเป๋าและออกมาจากอาคารผู้โดยสารก็จะมีเหล่าพนักงานต้อนรับของแต่ละโรงแรมมาถือป้ายรอเหมือนเมืองไทยเนี่ยล่ะครับ
พอเจอกับพนักงานแล้วเค้าก็จะเข้ามาช่วยขนกระเป๋าและพาเราไปเพื่อเดินทางไปที่รีสอร์ท
ผมเองแพลนทริปไว้ว่าโรงแรมต้อง Hi-End พอที่ตัวเองจะจ่ายได้ ที่สำคัญต้องนั่ง Seaplane หรือเครื่องบินน้ำด้วยมันถึงจะเรียกว่าถึงมัลดีฟส์
Seaplane ที่นี่มีให้บริการ 2 เจ้าฮะ พนักงานของโรงแรมก็จะพาเรามาเช็คอินเพื่อขึ้น Seaplane อีกทีซึ่งเคาร์เตอร์ก็อยู่ไม่ไกลทางออกนั่นล่ะครับ
กระเป๋าทุกใบต้องถูกช่างน้ำหนักหมดนะครับเพราะต้องติด tag จะได้ไม่หลงไปที่อื่น
จากนั้นก็จะต้องนั่งรถบัสไปที่ Seaplane Terminal อีกต่อนึงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินมากนักนั่งบัสอ้อมสนามบินไปนิดเดียวก็ถึงฮะ
วิวข้างทางฮะ อากาศดีมากๆ
เนื่องจากมัลดีฟส์เป็นประเทศที่มีแต่เกาะ การที่จะสร้างสนามบินก็ต้องใช้การถมที่เอาครับ
ลืมบอกไปฮะว่าเมื่อเราเลือกที่จะพักที่ W Retreat ก็ต้องมีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่นนิดนึงฮะ
บัสที่เรานั่งไปที่ Seaplane Terminal จะเป็นบัสส่วนตัวที่แยกจากลูกค้าโรงแรมอื่นๆฮะ
เมื่อมาถึง Seaplane Terminal ก็จะมีห้องรับรองส่วนตัวของ W ไว้ให้บริการฮะ ซึ่งห้องรับรองนี้จะมีอยู่เพียงแค่ 3-4 โรงแรมเท่านั้น
ที่เหลือก็ต้องไปนั่งรับลมรอที่อาคารผู้โดยสารฮะ
อาคารผู้โดยสารหลักก็จะอยู่ด้านหลังที่เห็นไกลๆนั่นล่ะครับ
ใช้เวลานั่งรอซักพักนึงฮะ ก็เก็บภาพไปเรื่อย ด้านในห้องรับรองซึ่งเป็นห้องแอร์ก็จะมีผลไม้ เครื่องดื่มและของว่างให้บริการฟรี พร้อมสัญญาณอินเตอร์เน็ตครับ
เมื่อได้เวลาเดินทางพนักงานก็จะเรียกให้เดินไปขึ้นเครื่องฮะ
เดินผ่านเครื่องบินของคอนราดก็แอบถ่ายไว้หน่อย .. แต่คนที่เคยไปคอนราดก็บอกว่าไม่ได้นั่งเครื่องนี้นะฮะ คงเอาไว้รับ VVIP จริงๆ
มารู้ทีหลังว่าเครื่องที่เราจะไปเป็นลูกค้าที่เข้าพักที่ W กันทั้งลำฮะ แอบเสียดายเพราะคิดว่าอาจจะได้นั่งเครื่องนานหน่อยแวะขึ้นลงหลายๆรีสอร์ท
งงนิดหน่อยว่าเช็คอินกับ Seaplane เจ้าสีแดงแต่ทำไมได้มาขึ้นสีฟ้า 5555
แล้วก็ได้เวลาเครื่องขึ้นฮะ กว่าจะขึ้นไปก็เสียเหงือไปพอสมควรเพราะเครื่องแบบนี้มันไม่มีแอร์ฮะ พอขึ้นไปข้างบนก็ได้ลมเย็นๆหน่อยค่อยยังชั่ว
เห็นมาเล่ เกาะที่เป็นเมืองหลวงของมัลดีฟส์อยู่ไกลๆ
สิ่งที่ทำให้ผมอยากนั่ง Seaplane ก็คือสิ่งนี้ฮะ ที่นี่เรียกกันว่า Atoll (ผมเรียกอะตอล)
Atoll เหล่านี้มีเป็นพันๆ Atoll ฮะ บาง Atoll ก็ใหญ่พอจะสร้างที่พักได้ บางทีก็เป็นอย่างที่เห็นคือไม่เหมาะจะสร้างสิ่งปลูกสร้างฮะ
นั่งมาซัก 25 นาทีเครื่องก็เริ่มลดระดับลง แสดงว่าถึงแล้วล่ะครับ
เมื่อมาถึงเราจะได้รับการต้อนรับอย่างที่เห็นในรูปฮะ
ไม่ว่าจะมาแบบไหนเราก็จะได้รับการต้อนรับที่ไม่ต่างกัน
เครื่องดื่มต้อนรับฮะ จำไม่ได้แล้วว่าเป็นอะไรแต่ทานแล้วก็สดชื่นดี
เมื่อทุกอย่างเริ่มสงบลง ผมเริ่มสังเกตวิวโดยรอบ ไม่ต้องพูดอะไรมากแค่ร้องว๊าวออกมาเบาๆก็พอฮะ
พร้อมจะไปรู้จัก W Retreat & Spa กันให้มากขึ้นหรือยังฮะ พร้อมแล้วตามมาคร๊าบบบบบ
แน่นอนว่า Water Bungalow เป็นตัวเลือกแรกแน่นอนครับ ไหนๆจะมาเที่ยวทั้งทีแล้วก็คิดว่าคงเป็นครั้งเดียวที่ได้มาเนอะ
ที่ W มีห้องพักหลายแบบฮะ ทั้ง Water Bungalow หรือวิลล่าบนหาด ผมเลือกที่จะพัก Water Bungalow ซึ่ง W มีอยู่ 2 แบบและผมเองก็พักมันทั้ง 2 แบบเพราะอยากรู้ว่ามันจะแตกต่างกันยังไง
Water Bungalow ก็คือวิลล่ากลางน้ำนั่นล่ะครับ แต่ละโรงแรมส่วนใหญ่ก็จะสร้างในลักษณะคล้ายๆกันนั่นก็คือทำเป็นสะพานไม้ยื่นออกไปในทะเล
ซึ่งที่นี่สะพานยาวมาก จะไปไหนมาไหนก็เรียกใช้รถบักกี้ได้ตลอดเวลาฮะ
ห้องพักแบบแรกที่จะพาไปชมก็คือวิลล่าที่เรียกว่า Ocean Oasis Lagoon View ฮะ
เป็นวิลล่าที่อยู่ฝั่งลากูนหรือว่าฝั่งที่มีน้ำตื้นฮะ
ดูจากสีน้ำจะเห็นว่าฝั่งนี้น้ำไม่ลึกมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะยืนถึงนะฮะ
เข้ามาดูในห้องพักบ้าง ..
ซึ่งจริงๆผมไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญในส่วนของห้องพักเท่าไหร่นักฮะ แต่ก็ถือว่าห้องพักที่นี่สวยและกว้างพอดูทีเดียว
ตอนที่จองบอกกับทางโรงแรมว่ามาฮันนิมูนฮะ ทางโรงแรมก็เลยจัด Complimentary เป็นขวดที่เห็นเนี่ยล่ะฮะ
อีกหนึ่งไฮไลท์ในห้องพักคือที่ปลายเตียงจะมีช่องกระจกที่เราสามารถมองลงไปดูปลาได้ฮะ ซึ่งปลาแถวนี้ก็เยอะจริงๆมีว่ายมาให้เห็นตลอดเวลา
มินิบาร์ในห้องนอกจากน้ำและชากาแฟที่เหลือเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดนะฮะ
ไปดูในห้องน้ำกันบ้างฮะ ..
ห้องอาบน้ำและห้องถ่ายหนักเบาแยกกันฮะ มีอ่างให้แช่น้ำด้วยแต่ก็ไม่ใหญ่มากนักซึ่งผมก็ไม่ได้ใช้งานเลยเพราะแช่น้ำที่ pool ด้านนอกแทบจะตลอด
ไปดูวิวหน้าระเบียงห้องกันบ้างดีกว่า
ด้านนอกวิวสวยมากฮะ สีน้ำทะเลเป็นแบบที่เห็นในรูปจริงๆ
มี Daybed ไว้ให้นอนนับดาวเล่นตอนกลางคืน มีเก้าอี้อาบแดดไว้ให้ มีศาลาไว้ให้นั่งชิลล์ๆ และที่สำคัญมี Pool ขนาดกำลังดีไว้ให้แช่น้ำด้วยครับ
น้ำมันใสซะจน …..
เล่นน้ำกันมั๊ยคร๊าบบบบบ
เล่นน้ำเสร็จเดี๋ยวพาไปดูรอบๆรีสอร์ทกันบ้างฮะ
ที่กังวลว่าจะมาเจอฝนสรุปว่าทริปนี้ผมเจอฝนแค่คืนวันแรกคืนเดียวซึ่งตกมาแบบปรอยๆเม็ดมาซัก 3 นาทีเท่านั้นเอง
ตามทางเดินทั้งบนสะพานและรอบๆเกาะจะมีซุ้มเครื่องดื่มอยู่ฮะ ซุ้มนี้จะมีเครื่องดื่มประเภทน้ำเปล่า โค้ก สไปร์ท(ใส่กระป๋อง) ไมโล
นี่คือจุดที่เราลงจาก Seaplane ตอนมาถึงฮะ
อีกฝั่งก็จะเป็นศูนย์รวมกิจกรรมต่างๆฮะ
บางทีถ้าเดินผ่านแถวนี้ช่วงเวลาที่ Seaplane ขึ้นหรือลงก็จะได้เห็นภาพแบบนี้ฮะ
แดดดีๆแบบนี้เหมาะมากที่จะมานอนอาบแดดฮะ ส่วนผมดำแค่นี้พอแล้วฮะ ที่นั่นอยู่เพลินมากคิดว่าชิลล์ๆแช่น้ำทั้งวันเย็นๆ
อีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้คือการสน็อคเกิลฮะ สำหรับอุปกรณ์พื้นฐานคือเสื้อชูชีพจะมีให้อยู่ทุกห้องแล้วครับ
ที่เช่า-ยืมอุปกรณ์และรวมไปถึงการสอบถามถึงโปรแกรมกิจกรรมทางน้ำต่างๆเช่น Diving ได้ครับ
บรรยากาศที่ไม่ต้องมีคำบรรยาย
และอีกมากมายติดต่อได้ที่นี่ฮะ มีบางอย่างที่ฟรีและบางอย่างที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ
ถัดเข้ามาหน่อยจะมีศูนย์รวมกิจกรรมอีกหลายอย่างฮะ ด้านล่างเรียกว่า WET POOL ฮะ ด้านในมีบาร์เครื่องดื่มให้บริการอยู่ด้วย
ด้านบนเป็นห้องสันทนาการเรียกว่า ENERGY ฮะมีห้องฟิตเนส ห้องเกมส์ โต๊ะบอล โต๊ะพูล ปิงปอง อีกทั้งยังมีห้องสมุดและห้องดีวีดีให้ยืมด้วยครับ
ข้างๆกันจะเป็นห้องอาหารที่ชื่อว่า KITCHEN ซึ่งเป็นห้องอาหารหลักที่เปิดบริการทุกวัน และเราต้องมาทานอาหารเช้ากันที่นี่ทุกวันครับ
เย็นวันนี้เราเลือกที่จะนั่งชิลล์ที่ WET Bar ฮะที่นี่ให้บริการ Cocktail และ Snacks เบาๆ ทุกเย็นช่วง 5 โมงเย็นจะมี Happy Hour 2 ฟรี 1 ด้วยครับ
บรรยากาศช่วงเย็นๆฮะ
KITCHEN
(น่าจะมีการซ่อมอะไรซักอย่างถึงเอาไม้มาตีกั้นต้นไม้)
WET Bar
เดี๋ยวคืนนี้เราจะทานข้าวกันที่ KITCHEN ฮะ
ภายในที่สามารถเปิดเป็นทั้งห้องปรับอากาศและแบบ Open Air
ผมทานอาหารค่ำที่ห้องอาหารนี้ 2 คืนฮะ ขอรวบเอาอาหารที่ทานมาไว้ในครั้งเดียวเลยแล้วกันนะครับ
ในแพ็คเกจที่ซื้อมานั้นไม่รวมอาหารทุกมื้อเหมือนโรงแรมในเชนไทยและอีกหลายๆแห่งนะครับ
อาหารในห้องอาหารนี้ถือว่าอร่อยถูกปากเลยทีเดียว แต่ราคาก็ถือว่าแพงพอสมควรฮะ
เฉลี่ยมื้อนึงผมทานกันแบบไม่เหนียมก็ตกประมาณ 200 กว่าเหรียญ US ฮะ
ขนมปังนี้เป็น complimentary ครับ
สลัด
จานนี้จะเป็นกุ้งลายเสือย่างฮะ จะสั่งกี่ตัวก็ได้โดยจะคิดราคาเป็นตัวๆครับ จานนี้ผมทานทั้ง 2 วันเลย
เนื้อ Tenderloin จานนี้อร่อยมากฮะ ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะมีเนื้ออร่อยๆแบบนี้ คุณแฟนผมทานไปทั้ง 2 มื้อเช่นกัน ที่สำคัญจำราคาได้เลยว่าจานนี้อยู่ที่ 55 เหรียญฮะ
ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันคือสปาเก็ตตี้อะไร 5555
สเต๊กปลา
ตอนนี้มาได้ครึ่งทางพอดีฮะ เดี๋ยวตอนหน้าจะพาไปทานอาหารเช้า ชมวิลล่าอีกฝั่ง ไปดำน้ำดูปลาสวยๆกัน ขอโทษด้วยครับที่ต้องลากันครึ่งๆกลางๆแบบนี้
ฝากติดตามแฟนเพจผมได้ที่ https://www.facebook.com/travelholicbigboy นะครับ