เคยมีฟิลที่แบบอุ้ย!! อยากไปเที่ยวที่นั่นจังเลย .. มั้ยครับ
ผมเองก็มีสถานที่นึงที่คิดว่าอยากไปมากๆอยู่ที่นึง รู้สึกว่าถ้าไปที่นี่ต้องชอบมากแน่ๆ
แล้ววันนี้ก็มาถึง ผมเคยคิดอยากไปเที่ยวเมืองหลวงพระบาง เมืองที่เป็นเมืองมรดกโลกของประเทศลาว
เมืองที่มีวัดวาอารามเก่าแก่ มีตึกรามบ้านช่องสไตล์โคโลเนียล เมืองที่มีแม่น้ำสองสายอยู่ขนานเมือง รวมไปถึงผู้คนที่เค้าว่ากันว่าน่ารัก
ทริปนี้ผมเดินทางไปกับบางกอกแอร์เวย์อีกแล้วฮะ แน่นอนว่าถ้าได้อ่านรีวิวของผมบ่อยๆ จะเห็นว่านี่คือสายการบินที่ผมเลือกเดินทางด้วยบ่อยที่สุด
บางกอกแอร์เวย์มีเที่ยวบินเดินทางไปหลวงพระบางวันละ 2 เที่ยวบินซึ่งดูเวลาเดินทางค่อนข้างดีมากๆ
หลังจากเช็คอินและผ่านพิธีตม.ต่างๆเรียบร้อยเราก็ไปแวะกันที่ Lounge ของบางกอกแอร์เวย์กันหน่อยครับ
Lounge ฝั่งผู้โดยสารขาออกต่างประเทศนี้เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน ตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามประตูขึ้นเครื่อง D7
ผู้โดยสารที่เดินทางกับบางกอกแอร์เวย์ทุกคนสามารถใช้ Lounge นี้ได้
โดยผู้โดยสารชั้นธรรมดาจะใช้ห้องทางฝั่งขวา จะมีอาหารว่างและเครื่องดื่มให้บริการ
ส่วนผู้โดยสารชั้นธุรกิจและผู้โดยสารระดับพรีเมียร์ของบางกอกแอร์เวย์จะได้สิทธิ์ใช้บริการ Blue Ribbon Club Lounge
ซึ่งอยู่ทางฝั่งซ้าย ซึ่งจะเสิร์ฟอาหารร้อน อาหารว่าง และเครื่องดื่ม พิเศษกว่า Lounge ธรรมดาครับ
ผมมีสิทธิ์ใช้ Blue Ribbon Lounge ฮะเดี๋ยวจะพาไปชมกันหน่อยว่า Lounge ใหม่เป็นยังไง
ห้องรับรองใหม่นี่ใหญ่กว่าเดิมพอสมควรเลยครับ มีที่นั่งเยอะขึ้น และยังคงมีพนักงานคอยดูแลอยู่เหมือนเดิม
อาหารการกินยังคงเป็นจุดเด่นของห้องรับรองพิเศษนี้เช่นเดิมครับ
ในห้องมีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ มีอินเตอร์เน็ตไร้สายให้ใช้ฟรี มีห้องอาบน้ำ มีเก้าอี้นวด เรียกว่าสิ่งอำนวยความสะดวกครบเลย
อาหารร้อนจะมีเมนูให้เลือกหลายเมนู เช้ามีพวกข้าวต้มบะกุดเต๋ สายๆก็มีเมนูให้เลือกทานเพิ่ม
ของว่างที่ไม่ทานไม่ได้คือข้าวต้มมัด ขนมเทียน ขนมใส่ไส้ นอกจากนี้ยังมีของว่างให้เลือกทานอีกเยอะเลย
พอใกล้เวลาขึ้นเครื่องเราก็เดินไปรอที่ประตูขึ้นเครื่อง ซึ่งเที่ยวบินแรกไปหลวงพระบางของ PG จะเป็นเครื่องแบบ ATR72-600
เครื่องบินเล็กขนาด 70 ที่นั่ง เครื่องที่เราเดินทางเป็นเครื่องใหม่กิ๊งเลยล่ะครับ
อีกหนึ่งบริการของบางกอกแอร์เวย์คือการเสิร์ฟอาหารร้อนบนเครื่อง เดี๋ยวนี้ปรับเปลี่ยนเมนูเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
บินหลายครั้งยังไม่เจออาหารซ้ำๆกันเลยนะครับ แถมอร่อยซะด้วยซิ เรียกว่าบินคุ้มค่าคุ้มราคา อิ่มพุงตึงกันเลยกว่าจะถึงที่หมาย
อ่อ.. พนักงานต้อนรับจะแจกใบเข้าเมืองให้เรากรอกด้วยนะครับ คนไทยมาเที่ยวลาวไม่ต้องใช้วีซ่านะฮะ
เครื่องบินเล็กนี่ใช้เวลาเดินทางนานกว่าเครื่องใหญ่หน่อย เราใช้เวลาการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึงสนามบินนานาชาติหลวงพระบาง
สนามบินเล็กๆครับไม่ได้ใหญ่โตอะไร เดินเข้าอาคารไปจัดการเรื่องตรวจคนเข้าเมืองให้เรียบร้อย (เวลาที่ลาวเท่ากับเวลาที่ไทย)
รับกระเป๋าออกมาก็มีคนของโรงแรมที่เราจองที่พักไว้มารับครับ อ่อ.. รับกระเป๋าออกมาแนะนำให้แลกเงินกีบที่สนามบินไปใช้นะครับ
ที่จริงเงินไทยก็สามารถใช้ที่หลวงพระบางได้ แต่ถ้าคิดเฉลี่ยแล้วใช้เงินกีบจะคุ้มกว่าเงินไทยเพราะคนที่นี่เค้าจะปัดเศษเงินไทยแพงขึ้นนิดหน่อย
ที่ให้แลกที่สนามบินเพราะเรทของที่นี่จะดีกว่าเราไปแลกในตัวเมืองครับ ขากลับถ้าใช้เงินไม่หมดก็มาแลกคืนได้ที่นี่เช่นกัน
เอาล่ะได้เวลาเข้าเมืองกันแล้ว จากสนามบินเข้าเมืองไปที่พักของเราใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีครับ
ที่หลวงพระบางเค้าขับรถเลนขวากันนะ พวงมาลัยก็จะอยู่ฝั่งซ้าย ไม่เหมือนเมืองไทย
ที่พักของเราในทริปนี้คือ โรงแรม AVANI+ Luang Prabang (อวานี พลัส หลวงพระบาง)
โรงแรมน้องใหม่ในเครือ AVANI ที่เพิ่งรีแบรนด์ใหม่เปิดให้บริการไม่นานนี้เอง
ที่เราเลือกที่จะพักที่นี่มาจากหลายสาเหตุครับ เช่น ทำเลของ AVANI+ อยู่กลางใจเมืองหลวงพระบางเลย
แถมยังเป็นโรงแรมใหม่ ระดับ 5 ดาว เราเน้นมาเที่ยวชิลๆ นอนสบาย ที่นี่จึงเป็นตัวเลือกอันดับแรกของเรา
เมื่อมาถึงเราก็เช็คอินกันก่อน ความรู้สึกแรกที่เดินเข้าล็อบบี้มาคือมันสวยกว่าที่คิดไว้
ตัวล็อบบี้อยู่ในอาคารสองชั้น ตกแต่งด้วยไม้ดูเรียบหรู เรียกว่าสวยจัดเลยทีเดียว
เมื่อจัดการเรื่องเอกสารกันเรียบร้อยก็ได้เวลาเข้าห้องพักครับ
จากล็อบบี้เปิดประตูเข้ามาในตัวของโรงแรมความรู้สึกแรกคือ เออ.. บรรยากาศดูดีวุ้ย ..
เราจะเห็นอาคารส่วนของห้องพักรูปตัว L สูง 2 ชั้น แน่นอนว่าคุมโทนอาคารสีขาวและใช้ไม้ประดับตกแต่งทั้งประตู หน้าต่าง ระเบียง ดูเรียบหรู
ตรงกลางเป็นสระว่ายน้ำหลักของโรงแรม ที่สะดุดตาคือต้นไม้ใหญ่ดูแล้วน่าจะเป็นต้นโพธิ์ตั้งสูงตระหง่านอยู่กลางโรงแรมเลย
หากมองย้อนกลับไปที่อาคารล็อบบี้ก็จะเห็นว่าสร้างเป็นรูปตัว L ล้อกับตัวอาคารหลัก ชั้นล่างจะขายของที่ระลึก ชั้นบนจะเป็นสปาและห้องออกกำลังกาย
ห้องที่เราพักเรียกว่า AVANI Deluxe Room เป็นห้องแบบเริ่มต้นของโรงแรม AVANI+ หลวงพระบาง
ห้องแบบนี้จะอยู่ชั้นล่างของอาคาร หันหน้าออกด้านนอกโรงแรม
ห้องขนาด 35 ตร.ม. ออกแบบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำให้ห้องดูกว้างขวาง เตียงนอนขนาด King Size ตั้งอยู่กลางห้อง
มีหมอนให้เลือกสองแบบ ถึงเตียงจะอยู่กลางห้องแต่ก็ไม่ได้ทำให้ห้องดูรู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด
ตรงหัวเตียงมีผ้าม่านพื้นเมืองรูดปิดบังตา ห้องน้ำและห้องอาบน้ำแบบ Rain Shower แยกส่วนซ้าย-ขวา
ปลายเตียงมีทีวีจอแบนแขวนติดผนังอยู่ มีช่องให้เลือกชมหลากหลาย มีช่อง 3 5 7 9 ของไทยด้วยนะ
ผนังห้องด้านข้างฝั่งนึงออกแบบเป็นโต๊ะทำงาน อีกฝั่งเป็นเก้าอี้นั่งพักผ่อน มีผลไม้ต้อนรับในห้องให้ด้วย
อ่างล้างหน้ามีแยกให้สองชุดซ้าย-ขวา มีของใช้ในห้องน้ำให้ครบตามมาตราฐาน
ตู้ข้างผนังฝั่งนึงเป็นตู้เสื้อผ้า มีตู้นิรภัย และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้
ตู้อีกฝั่งมีมินิบาร์ เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ มีกาแฟแบบแคปซูลให้ ชา ขนมขบเคี้ยว
ในตู้เย็นมีเครื่องดื่มหลากหลาย แต่อันนี้ต้องเสียเงินเพิ่มถ้าจะทานของในตู้เย็น แต่ที่มีให้ฟรีคือน้ำเปล่าที่มีมาเติมให้ทุกวันครับ
ที่พิเศษคือพอเปิดบานประตูไม้ออกมานอกห้องจะมีระเบียงกว้างขวางมากๆ มีชุดเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อน
มีสวนเล็กๆ พร้อมเตียงอาบแดดให้สำหรับลูกค้าที่ชอบนอนอาบแดดแบบส่วนตัว
ทำให้ดูพื้นที่ในห้องของเรากว้างขวางเพิ่มขึ้นไปอีก
ส่วนที่ชั้นสองจะเป็นห้องอีกแบบนึงที่ในห้องเหมือนกันกับห้องเราแต่จะมีระเบียงหน้าห้องเล็กกว่า แต่จะมองวิวนอกโรงแรมได้
ทีนี้มาดูพื้นที่ส่วนกลางของโรงแรมกันบ้าง
อย่างที่บอกไปว่าสระว่ายน้ำตั้งอยู่ตรงกลางของโรงแรม ที่เห็นอาคารตรงปลายสระนั่นเป็นห้องอาหารและบาร์ครับ
สระว่ายน้ำนี่ถ้าเป็นช่วงบ่ายๆจะมีลูกค้ามานั่งจับจองกันเต็มทุกวันนะครับ บรรยากาศค่อนข้างดีมากๆ
เย็นวันแรกเรามีโปรแกรมพิเศษนั่นก็คือการล่องเรือชมวิวแม่น้ำโขงซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักหนึ่งในสองสายที่ขนาบเมืองหลวงพระบาง
โปรแกรมทัวร์นี้เราสามารถจองผ่านทางโรงแรมมาได้เลยครับ ทางโรงแรมจะจัดการเรื่องการจอง รถรับส่งให้เราเรียบร้อย
วันนี้เราจะนั่งเรือชื่อ PLAY ของ Mekong Kingdoms ซึ่งให้บริการล่องเรือทั้งแบบเหมาล่ำ และแบบมา Join กับคนอื่นแบบที่เรามาในวันนี้
รถตู้จะมารับเราที่โรงแรมช่วงประมาณ 4 โมงเย็นเพื่อไปส่งที่ท่าเทียบเรือริมแม่น้ำโขง ไปถึงก็รอเวลานิดหน่อยให้คนที่มา join มากันครบ
เรือก็จะล่องออกไปตามลำน้ำโขง โดยจะใช้เวลาไปกลับประมาณ 2 ชั่วโมง
ในเรือออกแบบตกแต่งเป็นเหมือนบาร์ มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดให้บริการ เมื่อออกเดินทางพนักงานจะเอาของทานเล่นมาให้
หลังจากนั้นจะเอาเมนูเครื่องดื่มมาให้เราเลือก ในแพ็คเกจปกติเราสามารถสั่งเครื่องดื่มแบบ Soft Drink และ Cocktail ได้ไม่จำกัด
จะมีเครื่องดื่มบางชนิดที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งพนักงานจะเป็นผู้แนะนำให้ครับ
เรือจะล่องตามลำน้ำโขงไปเรื่อยๆ เราสามารถนั่งชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามของเทือกเขา รวมถึงวิถีชีวิตของคนลาวริมน้ำโขงได้อีกด้วย
เรือเดินทางมาพักใหญ่ๆก็จะมีสลัดมาเสิร์ฟ พร้อมทั้งอาหารว่างพวกคานาเป้ และผลไม้ให้ทาน
ช่วงที่พระอาทิตย์จะหลังยอดเขาเรือก็จะหยุดให้เราได้ชมความงดงาม เก็บภาพบรรยากาศสวยๆเอาไว้ ก่อนที่เรือจะหันหัวกลับ
เรากลับมาถึงท่าเทียบเรือก็เริ่มค่ำแล้วครับ รถตู้คันเดิมขับกลับมาส่งเราที่โรงแรม
มาชมบรรยากาศยามค่ำที่โรงแรมกันบ้างดีกว่าครับ
อาคารล็อบบี้ดูสวยเด่นตามสไตล์สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลผสมศิลปะแบบหลวงพระบาง
อาคารที่พักโดดเด่นอยู่หลังสระว่ายน้ำ มองมุมไหนก็รู้สึกว่าสวยงาม
ห้องที่หันหน้าเข้าตัวโรงแรมทุกห้องจะเห็นวิวสระว่ายน้ำ เรียกห้องประเภทนี้ว่า AVANI Deluxe View Room
ภายในห้องจะเหมือนกับห้องแบบที่ผมนอนทุกอย่าง ต่างกันแค่ตัวระเบียงห้องที่จะเล็กกว่าเท่านั้นครับ
เนื่องจากเป็นอาคาร 2 ชั้นเลยใช้การเดินขึ้นลงบันไดแทนลิฟท์ มองไปทางไหนก็ดูสวยไปหมดจริงๆสำหรับที่นี่
ได้เวลาอาหารเย็นครับ เราจะทานมื้อเย็นกันที่ Bistro ห้องอาหารหลักของโรงแรมซึ่งตั้งอยู่ติดริมถนนเลย
ห้องอาหารนี้เป็นห้องอาหารหลักที่เดียวของโรงแรม ตั้งอยู่ชั้นล่าง ส่วนชั้นสองจะเป็น Bistro Bar
อาหารที่ Bistro นี้จะเสิร์ฟเป็นอาหารสไตล์ฝรั่งเศสและแบบลาวแท้ๆ
และยังมีเมนูที่เอาอาหารทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกมาผสมผสานให้ได้เมนูใหม่ๆขึ้นมา
มาดูหน้าตาอาหารกันดีกว่า จานแรกเป็น Smoked Duck Salad สลัดอกเป็ดรมควันที่ใส่ข้าวพองมาให้ด้วย
จานที่สองเป็น Grilled Mekong Fish ปลาท้องถิ่นแม่น้ำโขงหมักกัยซอส salsa ย่างในใบตอง ทานกับสับปะรดหั่นเต๋า
จานสุดท้ายเป็น Lime Cured Tilapia สลัดปลานิลคลุกขิงอ่อนและงา ทานคู่กับข้าวตัง
จานสุดท้ายเป็นของหวาน ชื่อลาวเรียกขนมหมากอึ หรือฟักทองบดราดคาราเมล ทานกับไอศกรีมใบเตย
อาหารที่ Bistro อร่อยมากครับ ไม่คิดว่าการผสมผสานวัตถุดิบพื้นเมืองกับอาหารตะวันตกจะทำออกมาได้ดีขนาดนี้ แนะนำว่าให้ไปลองชิมครับ
ตัดภาพมาที่อีกหนึ่งกิจกรรมที่ไปถึงหลวงพระบางแล้วจะพลาดไม่ได้ นั่นคือการตักบาตรข้าวเหนียว
เราตื่นกันแต่เช้ามืดเพื่อที่จะไปกันแถวๆวัดเชียงทอง เช้าๆแบบนี้เราจะเห็นผู้คนพลุกพล่าน
ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างตื่นมารอตักบาตรข้าวเหนียวกัน พ่อค้าแม่ค้านั่งขายของใส่บาตรกันหลายเจ้า
บางเจ้าก็มีที่ให้นั่งให้รอใส่บาตรพระได้เลย
ใกล้ๆ 6 โมงเช้าผู้คนก็เริ่มมาจับจองพื้นที่เพื่อที่จะได้ร่วมกันทำบุญ
พระจะออกบิณฑบาตประมาณ 6 โมงเช้าโดยท่านจะเดินตามกันมาเป็นขบวนแถวยาวๆ พระทุกวัดจะเดินตามๆกันมาแบบนี้เป็นร้อยๆองค์
บริเวณถนนสายหลักส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวซะมาก พระท่านจะเดินบิณฑบาตเป็นเส้นทางวงกลมเริ่มจากแถววัดเชียงทอง
แล้วเดินวกกลับทางถนนเส้นรองอีกเส้นไปทางวัดเชียงทอง
คนท้องถิ่นเองมักจะมานั่งรอตักบาตรแถวๆถนนเส้นรองนี้ซะมากกว่า
ผมมีคำถามถามคนแถวนั้นว่าเราใส่แต่ข้าวเหนียวแล้วพระท่านจะฉันกับอะไร
คนแถวนั้นเค้าบอกว่า พวกอาหารที่กินกับข้าวเหนียวคนท้องถิ่นเค้าจะตามไปถวายกันที่วัดอีกทีหลังจากตักบาตรเสร็จ ก็เลยถึงบางอ้อ ..
ที่โรงแรม AVANI+ หลวงพระบางเองก็มีการจัดสำรับใส่บาตรไว้ให้กับแขกที่เข้าพักทุกคนนะครับ จะใส่กันหน้าโรงแรมนี่เลย
นี่เป็นอภินันทนาการฟรีสำหรับผู้เข้าพักคนละ 1 ครั้ง เราสามารถบอกกับแผนกต้อนรับได้ก่อนวันที่เราจะใส่บาตรครับ
ถึงเวลาจะมีพนักงานคอยดูแลปูเสื่อ วางสำรับเตรียมพร้อมให้เราเรียบร้อย โดยจะมีพระเดินผ่านหน้าโรงแรมเป็นปกติอยู่แล้วในทุกๆวัน
เพียงแต่พระที่เดินบิณฑบาตหน้าโรงแรมจะน้อยหน่อยแค่นั้นเอง
ส่วนวิธีใส่บาตรก็ง่ายมาก หยิบใส่ๆเลยครับ ร้อนหน่อยแต่ได้บุญ ไม่ต้องปั่นนะ พระท่านไม่น่าจะชอบที่เราปั่นเป็นก้อนกลมๆใส่บาตร ฮ่าๆๆ
หลังจากใส่บาตรเรียบร้อยก็ไปเดินเล่นกันซะหน่อยครับ จากโรงแรมเดินไปแค่ซัก 50 เมตรก็ถึงตลาดเช้า
เป็นตลาดสดที่ชาวบ้านท้องถิ่นเค้าจะออกมาซื้อหาวัตถุดิบไปทำกับข้าวกับปลา ตลาดที่นี่ก็ไม่ต่างจากตลาดเช้าตามต่างจังหวัดบ้านเราเท่าไหร่หรอกครับ
มีของให้ซื้อทั้งของสด ของแห้ง ของกิน ของใช้ เยอะแยะมากมาย ได้เดินดูวิถีชีวิตชาวบ้านที่นี่ก็สนุกดีนะครับ
เดินเลยตลาดสดไปนิดเดียวก็ถึงร้านกาแฟประชานิยม ร้านกาแฟชื่อดังที่ใครๆก็ต้องมาแวะลองชิม
ร้านกาแฟประชานิยมนี้จะอยู่ริมถนนเลียบแม่น้ำโขง ห่างจากโรงแรมแค่ประมาณ 100 เมตรเท่านั้นเอง
ร้านเค้าจะมีที่นั่งเยอะครับ แต่เอาฟินๆต้องนั่งหันหน้าเข้าหาคนทำแบบนี้
บนโต๊ะจะมีปาท่องโก๋วางเป็นจานๆไว้ให้ ร้านเค้าจะขายกาแฟร้อน-เย็น กาแฟดำ โอวัลติน ไข่ลวก ข้าวเปียก(ข้าวต้ม) ฯลฯ
กาแฟร้อน – โอวัลตินร้อน
ข้าวเปียก ปาท่องโก๋ อร่อยๆ นี่เป็นร้านที่ต้องแวะมาลองครับ เรียกว่ามาหลวงพระบางไม่มาถือว่ามาไม่ถึงละกัน
อิ่มแล้วก็เดินกลับโรงแรมไปอาบน้ำอาบท่ากันก่อน วันนี้เราไม่กินอาหารเช้าที่โรงแรมกันแล้วครับ
แต่เราจะไปเที่ยวนอกเมืองกัน จุดหมายอยู่ที่ตาดกวางสี น้ำตกที่สวยที่สุดของหลวงพระบาง
น้ำตกกวางสีอยู่ห่างจากตัวเมืองหลวงพระบางไปทางใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร
การเดินทางไปที่นี่เราสามารถจองรถผ่านทางโรงแรมได้ ซึ่งรถก็จะเป็นรถตู้ส่วนตัวนั่งเย็นสบายไป ราคาก็อาจจะสูงนิดนึง
หรืออีกทางเลือกคือเหมารถสองแถว มีให้เลือกมากมายในหลวงพระบาง เดินไปทางไหนก็จะมีแต่คนเดินมาถามว่าไปน้ำตกมั๊ยๆ
รถพวกนี้สนนราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ ราคาก็อยู่กับว่าเราจะไปเที่ยวไหนบ้าง ตาดกวางสี ตาดแส้ หรือไปถ้ำติ่งด้วย
ราคาขึ้นอยู่กับสถานที่ที่เราจะไปและสกิลการต่อรองราคาที่เรามีด้วย
ส่วนผมเองเลือกแบบที่สามครับ คือเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับไปเลย
ที่จริงผมตั้งใจจะเช่ารถมอเตอร์ไซค์เอาไว้ขับไปไหนมาไหนในตัวเมืองหลวงพระบางอยู่แล้ว เพราะมันค่อนข้างสะดวกดี
ถึงแม้ที่โรงแรมจะมีรถบักกี้ที่เราให้เค้าไปส่งที่ไหนในเมืองก็ได้ รวมถึงมีรถจักรยานให้ยืมขี่ด้วยก็ตาม แต่ผมว่าแบบนี้สะดวกเราที่สุดแล้ว
เช่ารถก็ตกประมาณ 500 บาทต่อวัน ราคาก็แล้วแต่ว่าจะเช่ารถใหม่รถเก่า หาเช่าได้ตามร้านในเมืองนั่นล่ะครับ
โดยเค้าจะนับเวลาให้ 24 ชั่วโมงคือเช่าสี่โมงเย็นวันนี้ก็ให้คืนได้สี่โมงเย็นวันถัดไป
หลักฐานการเช่าก็คือ Passport ของเราเนี่ยล่ะครับ ไม่ต้องห่วงปลอดภัยแน่นอน
ทางไปก็เป็นถนนราดยางตลอดทางครับ ไปไม่ยาก ขับชิลๆไปเรื่อยๆ ประมาณชั่วโมงนึงก็ถึง
เมื่อไปถึงก็ขอแวะไปหาไอเท็มลับที่มีเพื่อนแนะนำมาก่อน ไอเท็มที่ว่าเป็นทั้งรีสอร์ทและร้านอาหารชื่อ Vanvisa at the Falls
จะอยู่ก่อนถึงทางเข้าน้ำตกกวางสีนิดนึง ตรงนั้นจะมีวัดอยู่ให้เลี้ยวเข้าไปในวัด รีสอร์ทนี้จะอยู่หลังวัดเลย
จุดเด่นเลยคือรีสอร์ทนี้จะอยู่ริมธารน้ำที่ไหลลงมาจากน้ำตกกวางสี มีน้ำตกเล็กๆอยู่ด้วย วิวเลยสวยสะดุดตา
มีเก้าอี้นั่งทานอาหารบนลำธารชิลๆ เรียกว่าเป็นมุมที่ไม่คิดว่าจะได้พบ
เราแวะทานข้าวกลางวันกันที่นี่ อาหารรสชาติธรรมดาๆครับ แต่วิวที่นั่งมองทำให้อาหารอร่อยขึ้นเยอะเลย
นั่งทานกันซักพักก็ได้เวลาเที่ยวต่อ เราเอารถไปจอดตรงที่รับฝากด้านหน้าทางเข้าน้ำตก ค่าฝากน่าจะซัก 4000 กีบ
สถานที่ท่องเที่ยวแทบจะทุกที่ในหลวงพระบางจะต้องเสียค่าเข้านะครับ อย่างที่น้ำตกกวางสีนี้ก็ต้องเสียค่าเข้า 20000 กีบ
คิดง่ายๆเลขกลมๆ 5000 กีบ = 20 บาท ประมาณนั้น
เดินเข้าประตูไปสิ่งแรกที่เราจะได้เจอเป็นกรงหมีครับ ที่นี่เป็นศูนย์อนุรักษ์พันธุ์หมีที่เค้ายึดได้จากการค้าสัตว์ป่า มีหลายตัวเลยทีเดียว
ทางเดินค่อนข้างดีและสบายครับ ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงอะไรมาก อากาศเย็นสบาย
น้ำตกกวางสีเป็นน้ำตกที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในเมืองหลวงพระบาง แบ่งเป็น 4 ชั้น บางชั้นสามารถเล่นน้ำได้ แต่บางชั้นก็ไม่อนุญาตให้ลงเล่นน้ำ
นี่เป็นส่วนของน้ำตกชั้นที่ 1 ครับ
น้ำตกชั้นที่สองจะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมลงเล่นน้ำ คนเยอะจนไม่สามารถจะถ่ายมาให้สวยๆได้จริงๆ
เลยเดินขึ้นมาจนถึงน้ำตกชั้นที่ 3 น้ำตกกวางสีเป็นน้ำตกหินปูนน้ำที่ไหลลงมาก็เลยมองดูเป็นสีเขียวมรกตสวยงามไปอีกแบบ
ชั้นที่ 3 นี้ห้ามเล่นน้ำ แต่จะมีร้านค้าให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม
เดินขึ้นมาอีกนิดก็จะเจอน้ำตกชั้นที่ 4 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้าย
น้ำตกชั้นนี้มีความสวยงามมากฮะ น้ำจะไหลตามชั้นหินที่มีความสูงลดหลั่นกันลงมา ยิ่งมองยิ่งสวย
ที่ด้านล่างจะมีสะพานให้ขึ้นไปยืนชมความสวยงามของน้ำตกได้อีกด้วย
หรือถ้าใครอยากออกกำลังกายก็มีทางเดินขึ้นเขาไปดูด้านบนของน้ำตกชั้นนี้ได้ด้วยนะครับ
เรานั่งชมบรรยากาศและเก็บภาพความประทับใจกันอยู่ครู่ใหญ่ๆก็เดินทางกลับ
นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรมาเที่ยวเมื่อมาหลวงพระบางครับ น้ำตกกวางสีสามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี
ไม่ต้องห่วงเพราะที่นี่มีน้ำไหลตลอดทั้งปีครับ การเดินทางก็สะดวก สามารถมาเที่ยวได้ทุกวัย ทางเดินก็สบายๆไม่เหนื่อยเลยครับ
อีกอย่างนึงที่เห็นจากที่นี่คือการจัดการของเค้าดีมากๆ ดูเป็นระบบระเบียบ สะอาดสะอ้านจัดแบ่งพื้นที่ได้ดี
ถ้าอุทยานฯในเมืองไทยมีระบบจัดการดีแบบนี้จะยอดเยี่ยมเลยล่ะครับ
กลับมาถึงโรงแรมเราก็ออกไปเที่ยวในตัวเมืองกันต่อ แต่คราวนี้เราจอดรถมอเตอร์ไซค์เอาไว้ที่โรงแรม แล้วใช้บริการรถบักกี้แทนครับ
เราขอให้บักกี้ของโรงแรมไปส่งที่วัดเชียงทองซึ่งอยู่ห่างจากตัวโรงแรมประมาณกิโลนิดๆ
แล้วก็ตั้งใจว่าจะค่อยๆเดินซึมซับเมืองหลวงพระบางกลับไปที่โรงแรมเอง
วัดเชียงทองตั้งอยู่ทางตอนเหนือของตัวเมืองหลวงพระบาง ใกล้กับปากแม่น้ำคานที่จะไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง
ก่อนเข้าชมเราจะต้องเสียค่าเข้าคนละ 20000 กีบ วัดนี้เป็นวัดที่ดังที่สุด และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดอันดับหนึ่งของหลวงพระบางเลย
ทำไมเราต้องมาเที่ยววัดนี้ … เพราะที่นี่ถูกยกย่องให้เป็นอัญมณีของสถาปัตยกรรมช่างสกุลล้านช้าง
อย่างเช่น “สิม” หรือพระอุโบสถของวัดที่เราเห็นนี้เป็นศิลปะแบบหลวงพระบางโดยแท้ มีความงดงามอ่อนช้อย
ดูแล้วก็คล้ายๆโบสถ์ของวัดทางภาคเหนือของไทยเหมือนกัน
อีกอย่างนึงที่สำคัญคือช่อฟ้า 17 ช่อกลางหลังคายอดสิม โดยปกติแล้วสิมตามวัดต่างๆจะมีช่อฟ้าแค่ 7 ช่อเท่านั้น
แต่สิมของวัดเชียงทองเป็นสิมที่เจ้ามหาชีวิต หรือกษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเลยมีช่อฟ้าถึง 17 ช่อ
นอกจากนี้ยังมี “โรงเมี้ยนโกศ” หรือที่เก็บพระโกศและราชรถของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา
กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ลาวก่อนจะถูกเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ได้ชมความงามของศิลปะล้านช้างอีกด้วย
อีกจุดที่ห้ามพลาดเมื่อมาวัดเชียงทองคือวิหารแดง วิหารเล็กๆข้างสิมที่มีความสวยงามเตะตาตั้งแต่แรกเห็น
ที่วิหารนี้มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์หรือพระนอนที่สวยงามประดิษฐานอยู่ภายใน พระนอนองค์นี้เคยเอาไปแสดงถึงประเทศฝรั่งเศสมาแล้วด้วยนะ
เมื่อสักการะเรียบร้อยก็อย่าลืมถ่ายรูปกับหน้าต่างวิหารนี้ด้วยนะครับ
เนื่องจากภายนอกของวิหารจะถูกตกแต่งด้วยกระจกสีตัด ที่เอามาวางบนพื้นผนังสีชมพูเป็นรูปร่างเรื่องราวนิทานพื้นบ้าน รวมไปถึงวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบาง
นี่เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่ทำให้ผมอยากมาเที่ยวหลวงพระบางครับ ด้านหลังของสิมก็มีศิลปะกระจกสีตัดที่สวยงามเหมือนกัน
ข้างๆวิหารแดงก็มีวิหารองค์เล็กๆอีกหลังเป็นที่ประดิษฐาน “พระม่าน” พระพุทธรูปองค์สำคัญอีกองค์ของหลวงพระบาง
ลวดลายกระจกสีตัด แสดงเรื่องราวต่างๆ สวยงามมากๆครับ
เดินเที่ยววัดเชียงทองเสร็จจุดหมายต่อไปอยู่ที่ร้านตำหมากหุ่งเจ๊ติ๋ม หรือร้านส้มตำเจ๊ติ๋ม ป้าติ๋ม นางติ๋มแล้วแต่จะเรียกกันเนี่ยล่ะครับ
ร้านอยู่หลังวัดหนองสีคูนเมือง ไม่ไกลจากวัดเชียงทองเท่าไหร่ ร้านนี้เป็นร้านส้มตำชื่อดังที่ใครๆมาก็ต้องไปทาน
แล้วเราจะพลาดหรอ … ไปช่วงบ่ายๆจังหวะดีคนน้อย ถ้ามาเที่ยงๆมีแต่คนบอกว่าคนเต็มร้าน
ไม่ให้เสียเวลาก็สั่งรัวๆมาเลย จานแรกเป็นส้มตำไทย สั่งตำไทยเพราะเราไม่กินปลาร้า
ซิกเนเจอร์ของร้านนี้ส้มตำต้องเป็นเส้นใหญ่ๆ ทานแล้วเต็มปากเต็มคำเส้นกรอบกรุบเลยทีเดียว
ส้มตำร้านนี้อร่อยจริงครับ แต่.. อาจจะหิวน้ำถี่ๆหน่อยในตอนหลัง ฮ่าๆๆ
ย่างไก่ .. หรือไก่ย่างนี่ล่ะ อันนี้ธรรมดา แต่หนังกรอบดี
ทอดแหนม หรือแหนมทอดนั่นล่ะ จานนี้อร่อยจริงจัง กินแล้วติดใจถึงกับสั่งแบบยังไม่ทอดให้ทำใส่กล่องวันกลับเมืองไทยแวะมารับอีกที
หมูแดดเดียว ลักษณะคล้ายๆหมูทุบรสชาติดีเคี้ยวเพลินๆ
รวมๆแล้วเป็นร้านที่อร่อยแวะมาซ้ำได้ถ้าอยากกินส้มตำในหลวงพระบาง ราคาก็ไม่แพง
ตอนเช็คบิลเค้าจะคิดราคามาให้ทั้งแบบเงินกีบและเงินไทย แล้วแต่เราว่าจะจ่ายเป็นสกุลเงินไหน
เดินลัดเลาะดูตึกชมเมืองมาเรื่อยๆก็ถึงหอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง
ที่นี่ต้องเสียค่าเข้าชมเช่นเดิม ราคาแพงขึ้นนิด 30000 กีบ แล้วที่นี่ห้ามบันทึกภาพทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวในจุดสำคัญๆ
อ้อ .. การเข้าชมทั้งพิพิธภัณฑ์ หรือวัดในหลวงพระบางต้องแต่งกายสุภาพเท่านั้นนะ ห้ามเสื้อแขนกุด ห้ามกางเกงหรือกระโปรงสั้นเหนือเข่า
เดินเข้ามาก็จะเจอวิหารขนาดใหญ่ทางด้านขวาเรียกว่า “หอพระบาง”
ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของ “พระบาง” พระพุทธรูปองค์สำคัญที่สุดของเมืองหลวงพระบาง
พระบางเป็นพระพุทธรูปที่ชาวหลวงพระบางเคารพนับถือมาก มีประวัติยาวนานมากกว่า 300 ปี เป็นพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรสูงประมาณ 1 เมตรนิดๆ
หล่อด้วยสำริด ในอดีตเคยถูกอัญเชิญมาประดิษฐานที่กรุงเทพถึงสองครั้ง สุดท้ายมาประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงทอง หรือเมืองหลวงพระบางในปัจจุบัน
การได้มาสักการะพระบางถือว่าเป็นสิริมงคลกับชีวิตมากๆครับ ด้านในหอพระบางไม่สามารถถ่ายภาพมาให้เห็นได้นะครับ
เราสามารถสักการะได้เฉพาะด้านนอกหอพระเท่านั้น
เดินเข้าไปภายในจะพบกับหอพิพิธภัณฑ์ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นพระราชวังของพระบาทสมเด็จพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ลาว
เมื่อเสด็จสวรรคตแล้วทางการได้เปลี่ยนพระราชวังให้เป็นหอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ภายในไม่ให้บันทึกภาพใดๆ
เดินเข้าไปดูในนี้จะมีของล้ำค่ามากมาย ทั้งพระเก่าต่างๆ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆของเจ้ามหาชีวิต
ผนังห้องโถงใหญ่ตกแต่งด้วยกระจกสีตัดสวยงามมากๆ มีห้องต่างๆที่ยังคงเก็บข้าวของเครื่องใช้ของเจ้ามหาชีวิต
ทั้งห้องนอน ห้องแต่งตัว ห้องกินข้าว มีของที่ระลึกต่างๆที่พระมหากษัตริย์ ประมุขของประเทศต่างๆมอบให้เจ้ามหาชีวิต
รวมทั้งมีของที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมอบให้จัดแสดงอยู่หลายชิ้นด้วย
ของสำคัญอีกอย่างคือใบประกาศที่ยูเนสโกประกาศให้เมืองหลวงพระบางเป็นเมืองมรดกโลกจัดแสดงอยู่ด้วย
หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์เสร็จเราจะไปแวะทานขนมกันที่ร้านกาแฟที่ดังที่สุดร้านนึงในเมืองหลวงพระบาง
ร้านนี้คือร้านกาแฟโจมา ซึ่งๆๆๆ มันตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงแรมแค่นั้นเอง ใกล้โรงแรมแค่นี้ต้องแวะมากินสิเนอะ
ผมไม่ค่อยทานกาแฟแต่เรื่องขนมนี่ไม่พลาด เค้าว่ากันว่าขนมร้านนี้อร่อยไม่แพ้กาแฟ
เดินเข้ามาในร้านเห้ย!! ร้านนี้น่าจะเป็นร้านติดแอร์ในไม่กี่ร้านในหลวงพระบางแน่ๆ
เดินไปดูที่ตู้ขนมก่อนเลย ถามพนักงานว่าขนมอะไรขายดีที่สุด ก็เลยได้เค้กมะพร้าวที่เป็น Best Seller มาลองทาน
ก็อร่อยสมคำค่ำลือครับ เค้กนุ่มหอมมะพร้าวไม่หวานมาก
บรรยากาศร้านน่านั่ง ร้านมีสองชั้นนะครับ เป็นห้องปรับอากาศทั้งสองชั้น มี Free Wi-fi เป็นอีกร้านที่แนะนำครับ
ช่วงเย็นๆเป็นอีกช่วงไฮไลท์ที่ห้ามพลาด หนึ่งคือช่วงเย็นถนนตรงหน้าโรงแรมจะปิดเพื่อปรับเปลี่ยนเป็น “ตลาดมืด” ..
ตลาดมืดที่ว่าไม่ได้หมายถึงตลาดขายของเถื่อนนะ แต่หมายถึงตลาดกลางคืนที่ขายของต่างๆ มีทั้งอาหาร เครื่องใช้ ของฝาก
ที่เยอะสุดน่าจะเป็นพวกเสื้อผ้า ฟีลประมาณเดินที่ปาย หรือเชียงใหม่ไนท์บาร์ซ่าร์ แต่คือดีกว่ากันมาก มีของให้ดูเยอะและหลากหลาย
ที่สำคัญไม่แพงและสามารถต่อรองราคาได้ ใครจะซื้อของฝากกลับเมืองไทยนี่คือแหล่งจับจ่ายเลย
ถนนคนเดินจะเริ่มตั้งแต่วงเวียนหน้าโรงแรม AVANI+ ยาวไปตามถนนเส้นหลักของหลวงพระบาง ความยาวน่าจะหลายร้อยเมตรอยู่เหมือนกัน
อีกหนึ่งสถานที่ต้องไปคือ “พระธาตุพูสี” ซึ่งจะอยู่บนยอดเขาพูสี เป็นภูเขาที่อยู่ใจกลางเมืองหลวงพระบาง
มีทางเดินขึ้นสองฝั่ง แต่ฝั่งที่นิยมขึ้นกันจะเป็นฝั่งหอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ทางขึ้นอยู่ตรงข้ามกันเลย
การขึ้นยอดพูสีต้องเสียค่าเข้าคนละ 20000 กีบ โดยจากตีนเขาถึงยอดต้องเดินขึ้นบันไดประมาณ 300 กว่าขั้น
เดินพอเหงื่อออก เหนื่อยก็พัก ค่อยๆเดินขึ้นไปไม่นานก็ถึง
บนยอดเขาจะมีพระธาตุพูสี พระธาตุที่เป็นที่เคารพของคนหลวงพระบาง
นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาที่นี่ในช่วงเย็นๆเพราะบนยอดเขาจะเป็นจุดชมวิวของเมืองหลวงพระบางได้แบบ 360 องศา
นักท่องเที่ยวจะมานั่งรอชมพระอาทิตย์ตกลับหลังยอดเขาที่มีวิวด้านหน้าเป็นแม่น้ำโขง วิวบนนี้สวยงามจริงๆฮะ
สามารถชมวิวเมืองหลวงพระบางได้โดยรอบ ฝั่งนี้จะเห็นแม่น้ำคานและตัวเมือง
แท่นหินนี้นักท่องเที่ยวจะต่อคิวรอถ่ายรูปกันเยอะ ก็มีบ้างที่ต้องดุพวกบางเชื้อชาติที่ชอบแซงคิว 555
แต่ยังไงเสียแรงเดินขึ้นมาบนนี้แล้วต้องถ่ายมุมนี้ให้ได้นะ
มีหลายๆมุมที่ถ่ายสวยนะ มุมนี้ก็จะเห็นเมืองหลวงพระบางชัดหน่อย
พอเดินลงมาก็ค่ำพอดีเราก็เดินตลาดมืดต่อได้เลย อยู่ที่นี่เดินตลาดได้ทุกวันครับ เดินดูของเพลินๆได้ของติดไม้ติดมือบ้าง
แวะซอยตรงหัวตลาดใกล้ๆโรงแรมก็จะมีร้านข้าว ร้านส้มตำ ร้านขนม ผลไม้ให้นั่งทาน
เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นมาทานอาหารเช้าที่โรงแรมกันเบาๆครับ
ช่วงกลางเดือนมีนาที่ผมไปอากาศตอนเช้าๆที่หลวงพระบางยังแค่ 17-18 องศาเอง เย็นสบายกำลังดี
อาหารเช้าก็จะเสิร์ฟกันที่ Bistro ที่เดียวกับที่เราทานอาหารเย็นค่ำวันก่อน
อาหารเช้าที่นี่จะเสิร์ฟแบบ A la carte มีเมนูให้เลือกทั้งอาหารพื้นเมือง ABF เมนูไข่ ฯลฯ
มีบาร์ขนมปัง และผลไม้ รวมถึงพวกสลัดบาร์ โยเกิร์ต คอนเฟลค น้ำผลไม้คั้นสดให้ทาน
เราเลือกทานกันเบาๆกับข้าวเปียกหรือข้าวต้มของคนลาว
ทานเสร็จก็ออกไปเดินเล่นชมเมืองยามเช้า บรรยากาศกำลังดีเลย
หลวงพระบางได้รับวัฒนธรรมจากการเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมาพอสมควร
ทั้งตึกรามบ้านช่องที่สร้างตามแบบฝรั่งเศสที่ผสมความเป็นพื้นเมืองเข้าไปด้วย
อาหารการกิน อาหารเช้าแบบฝรั่งเศสมีขายทั่วไปในเมือง มีร้านกาแฟน่ารักๆเยอะแยะ
มีโรงแรมเล็กๆหรือโฮมสเตย์ มากมายรอต้อนรับนักท่องเที่ยว แล้วแต่บัดเจ็ทตามความต้องการที่หลากหลาย
หลวงพระบางยังมีที่เที่ยวอีกหลายแห่งที่เราไม่ได้เอ่ยถึงในรีวิวนี้ แต่เชื่อเถอะว่าใครมาที่นี่ก็ต้องหลงรัก
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกลับประเทศไทยกันแล้ว
4 วันที่ผมอยู่ที่หลวงพระบางเป็น 4 วันที่รู้สึกว่าได้พักผ่อนจริงๆ
โรงแรม AVANI+ หลวงพระบาง ที่สวยงาม บริการดี เป็นอีกโรงแรมที่รู้สึกว่ามาพักแล้วอยากอยู่ในโรงแรมมากกว่าออกไปเที่ยว
ถ้าใครสนใจลองเข้าไปดูโปรโมชั่นห้องพักและกิจกรรมต่างๆของโรงแรม AVANI+ หลวงพระบางได้ที่
>>> AVANI+ Luang Prabang <<<
เราเดินทางกลับด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์เหมือนเดิมครับ เที่ยวบินเย็น PG จะใช้เป็นเครื่องใหญ่ A319
แล้วที่สนามบินหลวงพระบางก็มีเลาจน์ของบางกอกแอร์เวย์ให้ใช้บริการด้วยนะครับ เมื่อเช็คอินโหลดกระเป๋า ผ่านด่านขาออกเรียบร้อย
เราก็ขึ้นไปที่เลาจน์ชั้น 2 ตรงประตูทางออกไปขึ้นเครื่องเลยครับ
เลาจน์ไม่ใหญ่มากเป็นห้องรับรองรวมนะครับใครที่บินกับ PG ก็สามารถใช้บริการได้
แต่ใครที่ใช้สิทธิ์ Blue Ribbon Club ก็จะมีพนักงานเดินเอาเมนูอาหารร้อนและเครื่องดื่มมาให้เลือก
มีคอมพิวเตอร์และ Free Wi-fi ให้บริการ
ที่ขาดไม่ได้ มีข้าวต้มมัดให้ทานด้วยจ้า
ขนมขบเคี้ยวก็จะออก Local หน่อยๆเป็นเหมือนเห็ดและเปลือกไม้อบกรอบให้ทานเพลินๆ
พอได้เวลาเครื่องออกก็สามารถเดินไปขึ้นเครื่องได้เลยทันที สะดวกสบายครับ บินเครื่องใหญ่เวลาการบินก็จะเร็วกว่าตอนขามาซักครึ่งชั่วโมงครับ
ทริปนี้เป็นอีกทริปที่ได้รับความประทับใจกลับมาเต็มๆ หลวงพระบางเป็นเมืองน่ารักจริงอย่างที่ได้ยินหลายๆคนพูดถึง
ผู้คนส่วนใหญ่น่ารัก อาหารการกินไม่ค่อยต่างจากเมืองไทยนักเลยค่อนข้างหมดห่วงเรื่องกิน
สถานที่ท่องเที่ยวถ้าไม่ใช่น้ำตกต่างๆ ส่วนใหญ่ที่เที่ยวจะอยู่ในตัวเมือง ถ้าไม่ขี้เกียจจะเดินเที่ยวก็พอไหว
หรือถ้าปั่นจักรยานเป็นที่โรงแรม AVANI+ หลวงพระบาง เค้าก็มีให้แขกที่เข้าพักยืมได้ หรือไม่ก็ให้บักกี้ไปส่งตามจุดท่องเที่ยวต่างๆได้
ถ้าเอาสบายจริงๆก็เช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่เองแบบเราเลยฮะ อยากจะไปไหนขี่รถไปสบาย แต่ต้องระวังอย่าหลงเลนเพราะที่นี่เค้าขับคนละฝั่งกับบ้านเรา
ถ้าถามว่าจะกลับมาอีกมั๊ย ตอบได้ไม่ลังเลว่าเราจะกลับมาอีกเมื่อคิดถึง ..
ลาก่อนหลวงพระบาง ลาก่อนเมืองมรดกโลกที่น่ารัก แล้วเราจะได้พบกันใหม่ …
รีวิวละเอียดยิบ โรงแรม AVANI+ หลวงพระบางก็สวยงามมีเอกลักษณ์ เข้ากับเมืองมรดกโลกอย่างหลวงพระบาง สงสัยต้องขอปักหมุดตามรายบ้างซ่ะแล้ว
อยากให้ไปครับ บ้านเมืองน่ารัก คนนิสัยดี ผมยังอยากไปอีกเลย