ทริปนี้เกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจเลยครับ ที่จริงยังไม่มีแพลนที่จะไปมัลดีฟส์เลย
แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาวันนึงตื่นมารู้ราคาโปรฯของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ บินไปกลับคนละ 66xx บาท
มองหน้ากับแฟนกันสองคนแล้วความคิดมันเหมือนชนกันว่า เฮ้ยยย!! ราคานี้กลับไปกันอีกเถอะ นี่จึงเป็นที่มาของทริปนี้ครับ
หลังจากจองตั๋วเครื่องบินจบ ก็ถึงคราวหาที่พักบ้าง คราวนี้ตั้งใจจะดีลที่พักกับเอเจนท์ในเมืองไทยเลยครับ
ถ้าคนที่เคยอ่านรีวิวเก่าคงจำกันได้ ว่ากว่าที่จะได้ไปพักที่ W ในรอบก่อนผมเจอเคสของ Atoll Paradise โกงเข้าไป
ดีว่าได้เงินคืนจากแบงค์ที่เราตัดเงินผ่านบัตรไป ไม่งั้นแย่แน่ๆ
รอบนี้เลยบอกกับตัวเองว่าเอเจนท์ไทยเถอะๆ ฮ่าๆๆ หลังจากคุยกับหลายๆเอเจนท์ก็สรุปราคาดีลที่ดีที่สุดได้ที่มัลดีฟส์แพคเกจฮะ
เรื่องดีลราคานี้แล้วแต่เรานะครับว่าจองผ่านทางไหนแล้วจะถูกกว่ากัน บางทีราคาโรงแรมบางช่วงถูกกว่าเอเจนท์ก็มี
เอเจนท์ไทยดีกว่าพวกเวปเอเจนท์ดังๆตรงที่เราสามารถต่อรองราคาได้ อันนี้แล้วแต่ความสามารถของเราเองเลยว่าจะดีลลดราคาได้ขนาดไหน
ส่วนราคาของทริปนี้ผมขออนุญาตไม่บอกในนี้นะครับ ถ้าอยากทราบขอให้หลังบ้านหรือไปดูราคาในเพจนะครับ เดี๋ยวจะลงรีวิวในเพจด้วย
ทริปนี้เราเดินทางกันช่วงวันที่ 29 พ.ค. ถึง 1 มิ.ย. ที่ผ่านมาครับ
ก่อนไปก็ค่อนข้างกังวลเรื่องมรสุมอยู่พอสมควร คราวที่แล้วก็ไปช่วงประมาณนี้เหมือนกันแต่ตอนนั้นอากาศดีมากทุกวัน
ทริปนี้ผิดหวังเล็กน้อยครับ เพราะว่าฝนตกหนักเกือบตลอดเวลา มีแพลนหลายๆอย่างที่ตั้งใจจะทำแต่ก็ไม่ได้ทำเพราะสภาพอากาศ
แต่ก็ได้ภาพมาพอสมควรครับ เดี๋ยวตามกันไปเรื่อยๆเนอะ
เริ่มทริปกันด้วยอาหารจาก Blue Ribbon Lounge ของบางกอกแอร์เวย์กันก่อนครับ
เวลา Boarding ของบางกอกแอร์เวย์ดีมากครับ 9.30น. ใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมงนิดๆ
จะถึงมาเล่เมืองหลวงของมัลดีฟส์ประมาณ 11.45น. เวลามัลดีฟส์ซึ่งช้ากว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมงครับ
เครื่องที่ใช้บินเป็นเครื่อง A319 ชื่อหลวงพระบาง น่าจะเป็นเครื่องที่ใช้บินเส้นทางนี้เป็นประจำเพราะเที่ยวก่อนก็บินเครื่องนี้เหมือนกัน
บางกอกแอร์เวย์เป็นสายการบินที่ให้บริการแบบ FullService ฮะบนเครื่องยังมีอาหารและเครื่องดื่มให้บริการฟรี โหลดกระเป๋าก็ฟรี 20 กิโลกรัม
ความเปลี่ยนแปลงแรกที่มาครั้งนี้คือสนามบินเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นชื่อสนามบินเวลาน่าครับ ตอนนี้สนามบินกำลังปรับปรุงใหญ่อยู่ แถมอีกไม่นานสะพานข้ามจากสนามบินไปที่เมืองหลวงมาเล่จะเสร็จเรียบร้อยทำให้การเดินทางไปตัวเมืองจะสะดวกมากขึ้นครับ
การเข้ามาเที่ยวมัลดีฟส์นั้นคนไทยไม่ต้องขอวีซ่าครับ เมื่อผ่านพิธีตม. รับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย
ตรงทางออกก็จะมีพนักงานของโรงแรมมาถือป้ายรอรับเราครับ เค้าจะพาเราไปเช็คอินที่เคาเตอร์เช็คอินของ Seaplane
ตอนนี้เหลือเจ้าหลักๆเจ้าเดียวแล้วฮะคือ TMA หรือ Trans Maldivian Airways ตรงนี้เค้าจะให้โหลดกระเป๋าได้ 20 กิโลกรัมต่อคน
เมื่อเช็คอินและโหลดกระเป๋าแล้วจะมีเจ้าหน้าที่นำเราไปขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางต่อไปที่สนามบิน Seaplane ซึ่งอยู่อีกด้านนึงของรันเวย์ครับ
เมื่อไปถึงอาคารผู้โดยสารเราก็เข้าไปรอในเลาจน์ของโรงแรมได้เลยครับ เลาจน์นี้จะมีให้บริการเป็นบางโรงแรมเท่านั้นนะครับ
ที่นี่พนักงานจะให้เราก็ทำการเช็คอิน กรอกเอกสารการเข้าพักไว้เลย ไปถึงจะได้ไม่ต้องเสียเวลาในขั้นตอนนี้อีก
ในเลาจน์มีอาหารว่างเล็กๆน้อยๆ กับเครื่องดื่มให้ทาน รวมถึงมีฟรีไวไฟให้ด้วยฮะ
เวลาขึ้นเครื่องวันนั้นประมาณบ่ายสองกว่าๆ เวลาการเดินทางนี้ก็น่าจะคล้ายๆกับเวลาการเดินทางของเครื่องบินใหญ่ทั่วไป
คือมีการจัดเวลาที่แน่นอนไว้เลย ว่าเที่ยวบินนี้จะบินไปที่รีสอร์ทไหน
จากที่เห็นเที่ยวบินของเราจะบินร่วมกับคนที่พักรีสอร์ทใกล้เคียงกัน 2-3 ที่
เมื่อใกล้ถึงเวลาเดินทางพนักงานของโรงแรมก็จะบอกให้เราเดินไปที่ประตูทางออก ซึ่งจะมีอยู่ 3-4 ประตูเนี่ยล่ะครับ
เป็นห้องเล็กๆให้นั่งรอร่วมกัน ที่นั่งรอก็ประตูใครประตูมัน เมื่อถึงเวลาเดินทางก็ค่อยเดินออกไปที่เครื่องบินครับSeaplane เป็นเครื่องบินน้ำขนาดเล็กประมาณ 14 ที่นั่ง ตามที่เห็นในรูปเลยครับ ไม่มีแอร์นะ อาจจะร้อนหน่อยตอนเครื่องยังไม่ขึ้น
แต่พอเครื่องขึ้นไปก็จะมีลมเย็นๆมาตามท่อแอร์ข้างๆตัว หลายๆคนถามว่าตอนขึ้นลงน่ากลัวมั้ย
ไม่น่ากลัวครับ ที่น่ากลัวจริงๆคือตอนที่เจอพายุฝน ซึ่งผมเจอทั้งไปและกลับเป็นบางช่วง บอกเลยว่าไม่เมาก็เมาได้ครับ ฮ่าๆ
อารมณ์ประมาณสปีดโบ้ทเจอคลื่นแรงๆ เพราะฉะนั้นคนที่เมาเรือ เมารถง่ายๆควรกินยาแก้เมาไว้เลยฮะ
แต่ถ้าไม่เจอลมฝนก็บินปกติธรรมดานะครับ แถมระหว่างทางจะได้เจอวิวสวยๆของ atoll ต่างๆที่เรียงราวอยู่ตามเส้นทางที่เราไปด้วย
รีสอร์ทจะอยู่ทางตอนเหนือของมาเล่ เค้าว่ากันว่าแถวนี้เป็นแหล่งที่เราสามารถเจอ Manta Ray
ได้ง่ายโดยไม่ต้องดำน้ำลึกเลยครับ เสียดายที่ทริปนี้ไม่ได้เห็นตัวเป็นๆ
อย่างที่บอกครับว่าไฟล์ทที่เรามานั้นมารวมกับรีสอร์ทอื่นที่อยู่ใกล้เคียงเพราะฉะนั้นเราเลยต้องลงกันที่รีสอร์ทอื่น
แต่ก็มีพนักงานของทางรีสอร์ทของเรามารอต้อนรับอยู่แล้ว รอกระเป๋าลงจากเครื่องบินน้ำแล้วพนักงานก็พาเราไปขึ้นเรือต่อครับ
เราต้องเดินทางด้วยเรือต่อไปอีกประมาณ 10 นาทีก็ถึงรีสอร์ทของเราฮะมีการตั้งแถวต้อนรับด้วยครับ ตีกลองกันสนุกสนานเลย
จากนั้นจะมีพนักงานมาแนะนำเบื้องต้น และสิ่งที่สำคัญของ Hurawalhi ก็คือที่นี่เราต้องปรับเวลาเพิ่มจากเวลาท้องถิ่นของมัลดีฟส์ 1 ชั่วโมง
ซึ่งเท่ากับเวลาที่รีสอร์ทจะช้ากว่าเมืองไทยแค่ 1 ชั่วโมงและจะเร็วกว่าที่มาเล่ 1 ขั่วโมงเช่นกัน
จากนั้นจะมีเครื่องดื่มต้อนรับ แล้วก็มีพนักงานพาชมรีสอร์ทก่อนเข้าห้องพักครับ
ริวิว W คราวก่อนน่าจะบอกไว้เหมือนกันว่าถ้ากลับมามัลดีฟส์อีกจะไม่นอนห้องกลางน้ำแล้ว
เพราะรู้แล้วว่าถ้ารีสอร์ทสวย ดี มีปะการังให้ดำน้ำ เวลาส่วนใหญ่ที่ใช้จะอยู่นอกห้องมากกว่า
ที่สำคัญคือมันเซฟตังค์ในกระเป๋าไปได้พอสมควร คราวนี้เลยตั้งใจว่าจะนอนห้องบนชายหาด
แต่พอมาถึงพนักงานแจ้งว่าห้องแบบที่เราจองไว้เต็ม เค้าเลยขออัพเกรดให้เราไปนอน Ocean Sunset Villa 1 คืน
แล้วในคืนต่อไปค่อยกลับไปนอน Beach Sunset Pool Villa ที่จองไว้เหมือนเดิม
พร้อมกับขอโทษด้วยการคืนเงินเป็นเครดิตให้อีก 126 เหรียญ US เอาไว้ใช้ในรีสอร์ท
รวมไปถึงให้ดินเนอร์มื้อพิเศษเพิ่มอีก 1 มื้อที่ห้องอาหาร Aquarium (เดี๋ยวจะรีวิวในส่วนนั้นต่อไป)
ดังนั้นคืนแรกเราจะไปนอนกันที่วิลล่ากลางน้ำครับ
ห้องพักของ Hurawalhi ทุกแบบจะมีแปลนห้องเหมือนกันครับ จะต่างกันแค่บางห้องมีสระส่วนตัวอยู่หน้าห้อง บางห้องจะไม่มี
ห้องสวยครับจัดวางตำแหน่งได้ลงตัว เตียงหนานุ่ม มีหมอนให้เลือก มีอินเตอร์เน็ตไร้สายฟรี สิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบครัน
ทีวี ตู้เย็น ลำโพงไร้สาย ไดร์เป่าผม ตู้เซฟมีครบ ทริปนี้ผมจองมาแบบ all inclusive คืออาหารฟรี 3 มื้อ เครื่องดื่มฟรี 24 ชั่วโมง
เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลกับเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในรีสอร์ทฮะ เพียงแต่มันจะมีเครื่องดื่มบางอย่างที่มันจะไม่รวมอยู่ใน all inclusive
หรืออาหารที่ห้องอาหารไหนที่ไม่รวมอยู่ใน all inclusive พนักงานก็จะแนะนำและบอกเราไว้อย่างชัดเจนครับ
ถ้าใครที่จ่ายไหวก็ยังแนะนำให้เลือกนอนวิลล่ากลางน้ำนะ มันมีความฟินในวิวจริงๆ
ฝั่งที่นอนนี่เป็นฝั่ง Sunset View ฮะ เย็นๆก็จะเห็นวิวพระอาทิตย์ตก แต่เห็นเฉียงๆนะไม่ได้เห็นวิวตรงหน้าขนาดนั้น
ห้องน้ำกว้างขวางฮะ ที่นี่ไม่มีอ่างแช่น้ำนะ มีแต่ Rain Shower มีอ่างล้างหน้า 2 อ่างไว้ให้แปรงฟันไปคุยกันไป ฮ่าๆ
หลังฉากกั้นเป็นโถชักโครกซึ่งที่นี่มีสายชำระด้วยนะ ปลื้มมากกกก อิอิ
ที่นี่จะมีแชมเปญเป็น complimentary ขวดเล็กๆให้นะครับ ออกไปจิบริมระเบียงนั่งดูวิวก็ฟินดีไม่น้อยเลย
อย่างที่บอกไว้ว่าถ้าเราซื้อแบบ all inclusive มาของส่วนใหญ่ในตู้เย็นของห้องเราก็จะกินได้เกือบทุกอย่างครับ
นอกจากบางอย่างเท่านั้นที่ไม่รวมอยู่ใน all inclusive นอกจากนี้ยังมีตู้แช่ไวน์ ซึ่งไวน์บางตัวก็ทานได้ฟรีอีกด้วย
เรียกได้ว่า สามารถเมาได้ตั้งแต่อยู่ในห้องพักเลย ฮ่าๆๆ
เป็นห้องอาหารที่ให้บริการอาหารเช้า และสำหรับคนที่ซื้อ all inclusive มาก็จะต้องมาทานอาหารกลางวันและเย็นที่ห้องอาหารนี้ครับ
เป็นห้องอาหารแบบ Open Air อาหารทุกมื้อมีไลน์หลากหลายครับ แต่ที่นี่จะไม่เสิร์ฟอะไรที่เป็นหมูเลยนะครับ ก็จะมีพวกไก่ เนื้อ และปลาเป็นหลัก
ในทุกๆวันก็จะมีอาหารหมุนเวียนไม่ซ้ำแบบกัน ถามว่าคุ้มมั้ยผมว่าคุ้มกับการซื้อ all inclusive มาครับ
อาหารทานได้สบายมาก มีอาหารไทยเหมือนกันนะ ผมเห็นเค้าทำผัดไทเป็นจานๆเสิร์ฟแต่หน้าตามันไม่ค่อยเป็นผัดไทเท่าไหร่ ฮ่าๆๆ
ขอไม่เอารูปอาหารลงนะครับ ไม่ได้ถ่ายไว้เพราะตอนเปิดให้ทานคนค่อนข้างเยอะเลยไม่ได้ถ่ายมา
อย่างช่วงเย็นมีจอง Sunset Cruise ไว้ก็ต้องยกเลิกเพราะฝนตกกระหน่ำลงมาจนออกจากห้องไม่ได้
ถึงออกไปได้ก็ไม่รู้เรือจะออกไปได้มั๊ย Sunset Cruise เป็น Complimentary จากการจองผ่านเอเจนท์ครับ
ไม่แน่ใจว่าถ้าจองมาเองจะได้เหมือนกันมั๊ย แต่ถ้าออกเรือไปเราก็ไปกับแขกท่านอื่นๆนะครับ ไม่ได้เป็นเรือส่วนตัว
ที่เห็นภาพจากการออกไปก็จะมีเห็นชัวร์ๆเลยคือปลาโลมาที่จะมาว่ายวนเวียนเล่นคลื่นอยู่หน้าเรือ
เสียดายมากๆที่ไม่ได้ไปครับ เวลาที่ไปพักก็ค่อนข้างจำกัดแค่ 3 คืนเลยไม่ได้จองใหม่
เช้าวันที่สอง วันนี้มีไฮไลท์ครับ เป็นไฮไลท์ที่เตรียมตัวมาเซอร์ไพรส์คุณภรรยาด้วยเดี๋ยวตามไปชมกัน
อันนี้เป็นสปาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับห้องอาหารและสระว่ายน้ำกลางของรีสอร์ท ที่จริงทางรีสอร์ทมีบริการนวดฟรี 30 นาทีนะครับแต่ผมไม่ได้เข้าไปใช้บริการ
ฝั่งนี้เป็นหน้าหาดของห้องแบบ Beach Sunset ซึ่งวันนี้เราจะไปนอนกันครับ
ข้างห้องอาหารจะมีห้องเกมส์อยู่ แต่ไม่ได้ถ่ายภาพมา ในนั้นก็มีโต๊ะพูล โต๊ะปิงปอง ตู้เกมส์ ฯลฯ
ค่ำๆตรงนี้โรแมนติคมากครับ
แล้วที่นี่คือที่ที่ใหญ่ที่สุดและเค้าบอกว่าเป็นห้องอาหารใต้ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
ไปดูกันดีกว่าครับว่าเป็นยังไง ฝนตกปรอยๆก็เลยเรียกบักกี้มารับฮะ
ที่เห็นไกลๆยื่นออกไปในทะเลนั่นล่ะครับ ด้านบนจะเป็นห้องอาหารที่สองชื่อว่า Aquarium
ส่วนด้านล่างใต้ทะเลลงไปจะเป็นห้องอาหารที่เราจะไปทานกันในมื้อกลางวันนี้
ทางเดินไปที่ห้องอาหารที่ยื่นออกไปในทะเลครับ
ห้องอาหารใต้ทะเลนี้ชื่อว่า 5.8 ตามระดับความลึกของห้องอาหารที่อยู่ใต้ทะเล
รีบมาเพราะอยากได้โต๊ะวิวสวยๆ มีคนมาก่อนเราแล้วแต่โต๊ะมุมในสุดยังว่าง ผมว่าวิวตรงนั้นดีสุดแล้ว
จองโต๊ะเรียบร้อยก็เดินถ่ายรูปกันก่อน อยากได้ภาพคู่ก็ให้พนักงานช่วยถ่ายให้ก็ได้ฮะ
พอเราเข้ามาแขกท่านอื่นๆก็เริ่มทยอยตามมาเรื่อยๆจนเต็มครับ
ที่จริงห้องอาหารมันเล็กนิดเดียวเองครับ ตั้งโต๊ะอาหารได้ประมาณ 10 โต๊ะแค่นั้นเอง
ที่สำคัญคือการมาทานอาหารที่นี่ต้องจองล่วงหน้านะครับ ผมเองก็จองผ่านเอเจนท์มาเลยพร้อมตอนที่จองห้องพัก
มันจะว่ายมาเรื่อยๆ มาเป็นฝูงๆก็มี ถ้าฝูงใหญ่ๆมาทีก็จะได้ยินเสียงแต่ละโต๊ะฮือฮา
จุดที่ถ่ายสวยจริงๆก็คิดว่าน่าจะเป็นตรงมุมด้านในนั่นล่ะครับ โชคดีที่ผมและแฟนเลือกโต๊ะนี้
ปกติเห็นแต่คนดูปลาในตู้ อันนี้ปลาว่ายมาดูคนในตู้แทน ฮ่าๆ
โดยจะเปิดเป็น 3 รอบที่เราสามารถลงมาทานได้คือ 12.30 18.15 และ 21.15 ซึ่งรอบที่เราทานเป็นรอบ 12.30 น.ครับ
และราคาแต่ละรอบก็ไม่เท่ากันนะครับ โดยรอบที่เราลงไปทานค่าอาหารจะอยู่ที่หัวละ 150 เหรียญ US
ส่วนรอบเย็นและค่ำเห็นว่าราคาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 260 เหรียญประมาณนั้น
ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าอาหารจะต่างกันมั๊ยนะครับ แต่มื้อกลางวันอาหารก็จะมาเป็น Set โดยเราสามารถเลือกจากหลักได้หนึ่งในสองอย่างมาดูอาหารกัน ขออนุญาตเรื่องชื่อนะครับลืมจดมาจริงๆ แหะๆจานแรก ..
จานที่สอง ..
จานที่สาม .. อันนี้เป็นเอ็นหอย
จานที่สี่ .. อันนี้เลือกได้ระหว่าง SeaBass
หรือเนื้อแองกัส ..
จานที่ห้า และ หกเป็นของหวาน ..
ทานเสร็จก็เดินมารับกุญแจที่ล็อบบี้เพื่อไปห้องใหม่เลยครับ
ห้องแบบที่เราจองมาตั้งแต่แรกคือ Beach Sunset Pool Villa ฮะ
ในห้องแปลนทุกอย่างเหมือนห้องแบบ Ocean Sunset Villa เลย แต่จะมี Pool เพิ่มขึ้นมาหน้าระเบียงห้อง และมีทางเดินออกไปชายหาดได้เลยครับ
เตียงผ้าใบส่วนตัวหน้าวิลล่า
ได้เวลาสนุกครับ ใครที่สามารถขนอะไรไปเล่นได้ขนเลยครับ ส่วนเราก็เอาเป็ดไปด้วยเหมือนกัน
ได้เวลาชิลลลล เสียดายว่าลมแรงมากไม่อย่างั้นคงได้ลากเอาลงไปเล่นในทะเลด้วย
ลากลงไปแป๊บเดียวต้องเอาขึ้นมาเพราะว่าปลิวเป็นว่าวเลย ขนาดมีเชือกเตรียมไปด้วยนะ ฮ่าๆ
เรื่องของการลงน้ำ ถ้าเราเตรียมอุปกรณ์ดำน้ำตื้นไปด้วยเราสามารถลงน้ำได้เลยครับ
แต่ถ้าไม่มีอุปกรณ์ ในห้องพักจะมีเสื้อชูชีพไว้ให้อยู่แล้ว แต่ถ้าอยากได้หน้ากากและฟินด้วยต้องไปเอาจาก Diving Center
ถ้าเราซื้อ all inclusive มาก็ไปเอาอุปกรณ์ได้ฟรีครับ แต่ถ้าไม่ได้ซื้อมาก็เช่าเป็นวันเอาได้ ไม่แน่ใจราคาเหมือนกันครับ
ถ้าคนที่ดำน้ำลึกเป็นและอยากออกไปดำน้ำลึกสามารถซื้อแพคเกจออกไปดำได้ แต่น่าจะต้องมีใบอนุญาตการดำน้ำของตัวเองไปแสดงด้วยฮะ
เรื่องการดำน้ำตื้นและ House Reef รอบๆเกาะต้องบอกว่าที่นี่ไม่ได้เด่นอะไร ปะการังมีไม่เยอะครับ ปลาน้อยใหญ่พอมีบ้าง
แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นช่วงมรสุมด้วยรึเปล่า น้ำทะเลแรงมากเลยไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่
แต่ถ้าได้ดูในคลิปต้นรีวิวก็จะเห็นว่าผมได้เจอฉลาดตัวขนาดย่อมๆมาว่ายน้ำอยู่ใกล้ๆเหมือนกัน
แต่ก็ได้ลงเล่นน้ำทะเลไม่เท่าไหร่เหมือนกัน เพราะคลื่นค่อนข้างแรงลงไปสน็อกไม่เท่าไหร่ก็หมดแรงแล้วฮะ
รอบนี้เลยค่อนข้างเฟลเรื่องการเล่นน้ำอยู่เหมือนกัน
มีโยคะของสาวๆ มีสนามแบตมินตัน สนามเทนนิส มีฟิตเนสที่มีเครื่องเล่นอยู่พอสมควรด้วย
ราคาน่าจะประมาณ 50 เหรียญต่อชั่วโมงประมาณนั้นครับ
เดี๋ยวไปดูส่วนอื่นๆของรีสอร์ทกันต่อดีกว่า
ตรงนี้เป็นอีกจุดที่หลายๆคนชอบมานั่งๆนอนๆรอชมพระอาทิตย์ตกดิน
ไหนๆฟ้าหลังฝนวันนี้ก็สวยแล้วขอยืนหล่อๆซักรูปแล้วกัน ฮ่าๆ
ที่จริงตามเตียงพวกนี้จะมีคนมานอนเต็มไปหมดเลยครับ แต่วันนั้นฝนตกหนักก่อนที่จะหยุดไปแล้วฟ้าก็เริ่มเปิด
พนักงานเค้าก็ยังไม่ได้มาทำเตียงให้พร้อมใช้งาน เราก็เตรียมตั้งกล้องรอเลยเพราะรู้ว่าแสงแบบนั้นฟ้าจะระเปิดแน่ๆ
เมื่อฟ้าระเบิดเลยได้เป็นภาพที่เห็นเลยฮะ โชคดีเลยกลายเป็นในภาพไม่มีคนไปเลย
ส่วนของสปาครับ
ในมุมของคนชอบถ่ายภาพ ฝนที่ตกมาเกือบตลอดทริปแลกกับฟ้าระเบิดในวันนั้นถือว่าทริปนี้คุ้มค่าแล้วฮะ ฮ่าๆๆ
อีกหนึ่งอย่างที่คนชอบมานอนดูพระอาทิตย์หรือเล่นน้ำตรงนี้เพราะว่าข้างๆสระเป็นบาร์ชื่อว่า Coco Bar
เป็นบาร์ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง และแน่นอนคนที่ซื้อ all inclusive มาก็สั่งเครื่องดื่มทานฟรีได้ไม่อั้น
ไม่แปลกใจที่เห็นคนเกาหลี คนจีนเดินกันตัวแดงๆเต็มไปหมด เอิ๊กๆ
ในส่วนของบาร์นั้นในรีสอร์ทจะมีบาร์ทั้งหมด 3 แห่งครับ หนึ่งคือ Coco Bar
สองคือบาร์ที่ห้องอาหาร Aquarium ที่สามารถสั่งเครื่องดื่มได้ไม่อั้นเช่นกันถ้าซื้อ all inclusive มา
แถมถ้าชอบทานไวน์ไปที่ห้องอาหาร Aquarium เลยครับที่นั่นมีห้องไวน์อยู่ มีไวน์ให้เลือกเป็นร้อยๆขวดอันนี้ไม่ฟรีนะจ๊ะ
หรือถ้าอยากจิบแชมเปญชมพระอาทิตย์ตกก็ไปที่ Champagne Pavilion ซึ่งอยู่ตรงปลายสุดของสะพานห้อง Ocean Villa
ตรงนั้นเป็นอีกหนึ่งจุดที่สามารถนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกได้สวยสุดๆ
แถมถ้าโชคดีอาจจะได้เห็นโลมาหรือแมนต้าเรย์มาว่ายให้เราได้ยลโฉมกันง่ายๆเลยทีเดียวฮะ
ในภาพเป็น Coco Bar นะครับ
ก็เลือกเอาตามใจชอบเลยว่าวันไหนจะไปนั่งตรงไหนดี ส่วนตัวเสียดายมากที่ไม่ได้ไปที่ Champagne Pavilion
เนื่องจากด้วยเวลา และสภาพอากาศที่ไม่อำนวยเลย บอกแล้วทริปนี้พลาดหลายสิ่งมาก
จบส่วนของสระว่ายน้ำส่วนกลางตรงภาพนี้ฮะ ตอนกลางคืนเปิดไฟสลับสีในสระด้วย สวยมากๆ
ข้างๆจะเป็นส่วนของร้านขายของที่ระลึกและส่วนของการซื้อทัวร์ไปตามโปรแกรมเสริมต่างๆ
ถ้าอ่านมาตลอดจะรู้ว่ามื้อนี้เราได้รับ Complimentary จากทางรีสอร์ท
เรามาทานกันที่ห้องอาหาร Aquarium หรือห้องอาหารด้านบนของห้องอาหาร 5.8 นั่นล่ะครับ
มื้อนี้เป็นอาหารแบบ Set Menu ที่เราเลือกอาหารทานได้เองทุกเมนู ไม่เหมือนที่ 5.8 ที่เราเลือกได้แค่จาน Main Courseมาดูอาหารกันดีกว่า .. starter น่าจะเป็นประมาณสลัดเป็ดอบ อร่อยมากกก
จาน Main เป็น australian beef จานใหญ่มากกกก
อีกจานเป็นเนื้อแกะครับ อร่อยมากเหมือนกัน
จานของหวานก็ตามนี้เลยครับ
ที่จริงที่ห้องอาหาร Aquarium นี้มีบาร์ที่มีวิวสวยอีกที่ครับ เพียงแต่บาร์นี้ไม่ได้หันหน้าไปทิศตะวันตกเท่านั้นเอง
เสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพในช่วงกลางวันของที่นี่ไว้เลย ทั้งๆที่ตอนที่มากินที่ 5.8 อากาศค่อนข้างดี เสียดายยย
อ้อ Aquarium เปิดให้บริการอาหารกลางวันและเย็นนะครับ
รวมถึงเที่ยวบินที่มีเวลาการบินที่แน่นอน เราเลยต้องออกจากรีสอร์ทมาเตรียมพร้อมตั้งแต่ 7.30 น.
มีเวลาเคลียร์ค่าใช้จ่ายที่เหลือกับทางรีสอร์ท รวมถึงทานอาหารเช้าอีกนิดหน่อย
วันนั้นต้องออกจากรีสอร์ทขึ้นเรือมารอ Seaplane ตั้งแต่ก่อน 9 โมงเช้า บินกลับมาที่มาเล่อีก 40 นาที
ในสภาพอากาศที่ฝนตกตลอดเวลา บอกเลยว่ามึนไปเลยเหมือนกันฮะกับการบินกลางฝนแบบนั้น เสียวท้องน้อย ฮ่าๆๆ
นี่เป็นภาพของ Hurawalhi Maldives Resort ที่ถ่ายจากบน Seaplane หลังจากเครื่องขึ้นได้นิดนึงครับ ฝนกำลังลงเม็ดหนาเลย
บทสรุป ..
Hurawalhi Maldives Resort เป็นรีสอร์ทเปิดใหม่ที่น่าสนใจครับ
การบริการ – ค่อนข้างดีมากโดยเฉพาะพนักงานต้อนรับ พนักงานที่ห้องอาหารบริการดีเช่นกัน ยิ้มแย้มแจ่มใส
อาหาร – ถ้าซื้อ All Inclusive ไปผมว่าคุ้มค่าและจะยิ่งคุ้มมากสำหรับคนที่ชอบทานเครื่องดื่มแอลกอฮอร์
แต่ถ้าไม่ซื้อ All Inclusive ไป อาหารแบบ a la carte ราคาก็ไม่ได้แพงมากจนสู้ไม่ไหว เรื่องของรสชาติก็ใช้ได้นะครับ
อาหารบางอย่างก็อร่อยเลยทีเดียว แฟนผมเป็นคนทานยากก็ยังรอดมาได้ ฮ่าๆ ติดน้ำจิ้มที่เราชอบไปจะทำให้อาหารอร่อยขึ้นอีกเยอะครับ
ห้องพัก – แปลนห้องเหมือนกันทั้งรีสอร์ท ต่างกันแค่อยู่บนบกหรือในน้ำ มีสระหรือไม่มี เห็นพระอาทิตย์ตกถ้าเป็นห้องโอเชียนผมว่าไม่ต่างมาก
เพราะมันจะเห็นเฉียงๆอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นห้องบนหาดจะเห็นชัดกว่า ห้องสะอาดสะอ้าน
บอกตรงๆชอบแปลนห้องที่นี่มากกว่าที่ W อีก สระส่วนตัวขนาดกำลังดีไม่เล็กไม่ใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ห้องน้ำกว้างมาก น้ำแรงมากแต่น้ำที่มัลดีฟส์นี่เหมือนน้ำกร่อยอาบน้ำแล้วเหมือนลื่นตลอดเวลา ฮ่าๆ ถ้ามีอ่างให้แช่ด้วยจะฟินกว่านี้
จุดเด่น ..
ความสะอาด เป็นรีสอร์ทใหม่ แน่นอนว่ายังคงอยู่ในสภาพที่ดี
การบริการ ดีมาก สมกับเป็น 5 ดาว
เป็นจุดที่เค้าว่าสามารถเห็นโลมาและแมนต้าเรย์ได้ง่ายโดยไม่ต้องออกจากรีสอร์ทเลย (แต่เราไปก็ไม่เจอเลยนะ)
มีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง ทั้งเสียเงินเพิ่มและไม่เสียเงิน
จุดด้อย ..
ไกลไปซักหน่อยจากมาเล่ ต้องใช้เวลาเดินทางนาน และเสียเวลาเยอะไปกับการเดินทางโดยเฉพาะขากลับ
ที่ต้องกลับแต่เช้ามากๆถ้าจะให้ทันไฟล์ทบินของบางกอก และรวมถึงแอร์เอเชียที่กำลังจะเปิดเส้นทาง
ปะการัง House Reef มีน้อย ทำให้ปลาก็ดูน้อยไปด้วย (ไม่แน่ใจว่าปลาน้อยเพราะคลื่นแรงด้วยหรือเปล่า)
สิ่งที่พลาดไม่ได้ ..
ลงไปทานอาหารที่ห้องอาหาร 5.8 ห้องอาหารใต้ทะเลใหญ่ที่สุดในโลก
และ Sunset Cruise ที่เราจะได้เห็นปลาโลมาตัวเป็นๆมาเล่นคลื่นรอบๆเรือที่เรานั่งไป (อันนี้เราพลาด)