มิงกะลาบา สวัสดีครับ
วันนี้ผมจะพาทุกคนออกเดินทางไปยังดินแดนแห่งศรัทธา ประเทศเมียนมาร์หรือพม่าที่เราๆรู้จักกันครับ
ทริปนี้จริงๆเป็นบล็อกเกอร์ทริปที่ทางสายการบินบางกอกแอร์เวย์เชิญบล็อกเกอร์หลายๆคนไปเที่ยวเปิดประสบการณ์ใหม่
กับสองเมืองที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักของคนไทยแต่ยังไม่ค่อยมีใครได้ไปเที่ยวมากเท่าไหร่นักนั่นก็คือ มัณฑะเลย์และพุกาม
ซึ่งหลายๆท่านอาจจะได้เห็นรีวิวของทริปนี้ไปบ้างแล้วที่นี้มาชมรีวิวในแบบฉบับของผมกันบ้างดีกว่าครับ
1. สายการบินบางกอกแอร์เวย์ที่เราจะเดินทางกันในทริปนี้มีบริการเที่ยวบินจากกรุงเทพฯไปเมืองมัณฑะเลย์สัปดาห์ละ 4 เที่ยวบินครับ
เครื่องที่บินไปเป็นเครื่องของ Bulgaria Air operated by Bangkok Air ครับ
แน่นอนว่าก่อนเดินทางเราก็ใช้บริการเล้าจน์ของ PG ซะหน่อย
ผมเพิ่งได้ใช้เลาจน์ฝั่งต่างประเทศครั้งนี้ครั้งที่สองเองครับ ครั้งแรกก็ตอนที่ไปมัลดีฟส์
2. เมื่อได้เวลาเราก็พร้อมออกเดินทางกันแล้วครับ การเดินทางครั้งนี้เราใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาทีฮะ
3. ถึงจะเป็นการเดินทางด้วยสายการบินร่วมแต่ก็มีพนักงานต้อนรับของบางกอกแอร์เวย์เข้ามาร่วมบริการกับพนักงานประจำเครื่องนะครับ
4. เรื่องของอาหารว่างจะเสิร์ฟไม่ต่างจากเที่ยวบินในประเทศครับ
แต่พิเศษหน่อยตรงเครื่องดื่มจะมีให้เลือกมากกว่าในประเทศและมีเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ให้บริการด้วย
5. หลับซักตื่นก็มาถึงเมืองมัณฑะเลย์แล้วครับ สนามบินใหญ่พอสมควรแต่เงียบเหงามากฮะ
ถ้าจะให้เที่ยบก็คงเที่ยบได้กับสนามบินในต่างจังหวัดบ้านเราที่นานๆจะมีเครื่องบินมาลงซักที
เครื่องบินไม่มีเข้างวงหรอกนะครับจอดในหลุมแล้วก็มีรถบัสแอร์ธรรมชาติมารอรับเข้าไปที่ตัวอาคาร
6. อ้ออีกสิ่งที่ต้องทำเมื่อเดินทางมาถึงแล้วก็คือต้องปรับเวลานะครับ ที่พม่า(ขอเรียกว่าพม่าไปตลอดทั้งรีวิวนะครับมันชินกว่าคำว่าเมียนมาร์จริงๆ)เวลาจะช้ากว่าเมืองไทยครึ่งชั่วโมง
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาประเทศพม่าครับ รู้สึกเลยว่าตื่นเต้นพอสมควรอารมณ์ประมาณที่เราๆชอบว่าคนที่เป็นคนต่างจังหวัดแล้วเข้ามาในกรุงเทพฯว่าบ้านนอกเข้ากรุงอะไรประมาณนั้น แต่อันนี้คงเรียกว่าคนกรุงตื่นบ้านนอกมากกว่า ฮ่าๆๆ สนามบินดูภายนอกค่อนข้างโอเคนะครับ แต่พอพ้นประตูรั้วสนามบินออกมาเท่านั้น ต้องบอกว่าอารมณ์นั่งเกวียนมาเลยทีเดียว ต้องบอกตรงๆว่าถนนหนทางของประเทศพม่ายังค่อนข้างแย่อยู่มากๆครับ พวกเรานั่งรถบัสที่จะพาเราทัวร์ตลอด 4 วัน 3 คืนออกจากสนามบินด้วยความทุลักทุเล ดีที่พอออกมาที่ถนนเส้นหลักที่เป็นเส้นทางการสัญจรระหว่างเมืองใหญ่อย่างมัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง ถนนดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ แล้วอีกอย่างนึงคือผมแอบไม่เข้าใจและตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเค้าถึงต้องสร้างสนามบินไกลจากเมืองมากนักก็ไม่รู้ จำได้ว่านั่งโยกไปเยกมาจนหลับ ตื่นมาอีกทีก็เห็นวิวหน้ารถเป็นแบบในรูปแล้ว นี่แสดงว่าเรากำลังจะเข้าสู่ตัวเมืองมัณฑะเลย์แล้วสินะ
7. มัณฑะเลย์เป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของประเทศพม่ารองลงมาจากย่างกุ้งและเนปิดอว์ มัณฑะเลย์จะเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของพม่าถ้าเทียบกับเมืองไทยคงเป็นจังหวัดเชียงใหม่ แต่บอกเลยว่าเชียงใหม่ยังเจริญกว่าเยอะเนื่องจากพม่าเป็นประเทศที่ปิดตัวเองมานานคนที่นี่ส่วนใหญ่ก็จะฐานะแค่พออยู่พอกินกันซะเยอะ การสัญจรไปมาเค้าจะนิยมรถมอเตอร์ไซค์เป็นหลักฮะ รถยนต์ก็ใช่ว่าจะไม่มีนะที่พม่านี่คนรวยก็รวยมากแต่ถ้าจนก็จนมากเช่นกันเรียกว่าฐานะคนค่อนข้างต่างกันเยอะ เชื่อมั๊ยว่านั่งๆอยู่บนรถเจอรถคาเยนขับผ่านเฉยเลยเรียกว่าตั้งตัวมองแทบไม่ทัน ฮ่าๆ ฮอนด้า FIT(Jazz)ใหม่ๆก็เยอะนะครับ
8. นั่งไปซักพักเริ่มปรับชิมสายตาได้ ที่นี้เห็นอะไรแปลกๆก็เริ่มจะไม่ตกใจแล้วล่ะครับ นี่คงเป็นที่เดียวนอกจากลำปางที่เราจะสามารถเห็นม้ามาวิ่งร่วมกับรถทั่วไปได้บนถนน ฮ่าๆๆ
9. การจราจรในเมืองใหญ่ๆแบบนี้เรียกได้ว่าโกลาหลเหมือนกันครับ คนที่นี่เค้าขับรถกันตามอารมณ์ไม่เปิดไฟไม่ให้ทางไม่ได้ไม่ดีก็บีบแตรเอาไว้ก่อน หมวกกันน็อคใส่บ้างไม่ใส่บ้าง ขับรถกลางคืนบอกเลยว่าเป็นที่เมืองไทยคงมีลงไปสาวกันบ้างแล้วเพราะที่นี่เค้าขับรถกลางคืนด้วยการเปิดไฟสูงกันครับ ผมล่ะทึ่งกับคนขับรถที่นี่จริงๆว่าเค้าสามารถเห็นทางข้างหน้ากันได้ยังไงในขณะที่มีไฟสูงส่องตาอยู่ตลอด
ถามว่าแล้วพม่าเค้าไม่มีตำรวจจราจรกันเลยหรือไง มีครับที่เห็นตามรูปนี้เลยแต่คิดว่าคงมีน้อยมากๆตลอดทริปผมเห็นตำรวจอยู่แค่ 2 คน ฮ่าาา
10. มองข้างทางก็จะเจอพวกป้ายโฆษณาอยู่เยอะแยะเหมือนกันครับ ถามไกด์นำเที่ยวที่เป็นคนไทยใหญ่เค้าบอกว่าพวกนี้ดังมากเลยนะ อารมณ์ประมาณณเดช-ยาย่า แต่ผมว่าดาราไทยหล่อสวยกว่าเยอะเห็นๆแบบนี้เชื่อป่าวฮะว่าคนพม่าโดยเฉพาะวัยรุ่นส่วนใหญ่เป็นติ่งโฮปป้าน๊า เมือ่พม่าเปิดประเทศปุ๊บบอยแบนด์เกิล์ลกรุ๊ปก็เข้ามาอยู่ในใจวัยรุ่นหลายๆคน ขนาดละครในทีวีของพม่านอกจากจะมีละครพม่าแล้ว ละครเกาหลีก็จะถูกนำมาฉายในช่วง Prime Time ให้คนพม่าได้ดูกัน
11. ได้เวลาแวะเที่ยวกันบ้างแล้ว ถ้าเอ่ยถึงเมืองมัณฑะเลย์ทุกคนที่ตั้งใจมาเที่ยวต้องมีที่นี่อยู่ในโปรแกรมครับ “พระราชวังมัณฑะเลย์”
พระราชวังที่ได้ชื่อว่าพระราชวังทองคำ สร้างโดยพระเจ้ามินดงกษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญา ที่นี่เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหมด ที่จริงมีความสวยงามมากแต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอังกฤษทำลายเพราะคิดว่าเป็นที่ซ่องสุมกำลังของทหารญี่ปุ่นทำให้พระราชวังได้รับความเสียหายจนหมดเหลือแต่กำแพงวังและคูน้ำรอบวังเท่านั้น
12. หลังจากถูกปล่อยทิ้งร้างมานานทางการพม่าก็ได้ทำการบูรณะขึ้นมาให้โดยจำลองพระราชวังให้เหมือนกับของเดิมให้มากที่สุด แต่ก็มีแต่คนบอกว่าพระราชวังของเดิมสวยงามกว่านี้มาก
เราสามารถที่จะขึ้นไปชมความงดงามของพระราชวังในมุมสูงได้จากหอคอยที่ตั้งอยู่ซึ่งเดิมเอาไว้สังเกตุการณ์และระวังภัยฮะ หอคอยเป็นบันไดวนสูงพอสมควรเลยทีเดียวคนที่ไปด้วยถึงกับเอ่ยปากบอกว่าเหนื่อยแล้วอ้วนๆแบบผมจะเหลือหรอ
13. ประโยคเดียวสั้นๆ … เมืองนี้มีช้างเผือก ฮ่าๆๆ
14. พระราชวังมัณฑะเลย์นี้มีพื้นที่ใหญ่มากๆนะครับ ลักษณะของวังจะคล้ายๆคูเมืองเชียงใหม่แต่ผมว่าใหญ่กว่าเยอะ จากรูปจะเห็นว่าคูเมืองใหญ่มากว่ายน้ำข้ามก็มีเหนื่อยนิดนึงล่ะ กำแพงเมืองยาวด้านละน่าจะร่วม 2 กิโลเมตรนะครับในภาพนี้จะเห็นยอดเขามัณฑะเลย์หรือ Mandalay Hill ซึ่งเดี๋ยวเราก็จะได้ขึ้นไปเที่ยวกัน
15. ต่อไปเราจะแวะไปชมความงามของ “พระตำหนักไม้สักชเวนานดอว์” ที่นี่สร้างโดยพระเจ้ามินดงเช่นกันฮะ ความโดดเด่นของที่นี่คือนี่คือพระตำหนักเดียวที่หลงเหลืออยู่จากสงครามโลกครั้งที่ 2
16. นี่คือพระตำหนักเก่าแก่แท้ๆที่เต็มไปด้วยศิลปะชั้นสูงของพม่า ตระการตาด้วยไม้แกะสลักลวดลายวิจิตรทั้งหลัง โดยตามผนัง ประตู หน้าต่างล้วนแต่มีการแกะสลักไม้เป็นเรื่องราวของพุทธประวัติและทศชาติของพระพุทธเจ้า
17. เห็นแล้วพาลให้คิดไปถึงพระราชวังมัณฑะเลย์ของเก่าก่อนจะถูกทำลาย ถ้าทั้งหมดยังคงสภาพอยู่มันจะต้องสวยมากแน่ๆ ตุ๊กตาไม้แกะสลักแต่ละตัวไม่เหมือนกันเลยฮะ และแน่นอนว่าพระตำหนักหลังนี้ทั้งหลังสร้างจากความเฉลี่ยวฉลาดของช่างสมัยก่อนโดยการประกอบไม้เข้าด้วยกันโดยไม่ใช้วัสดุอื่นๆมาช่วงในการยึดอาคารทั้งหลังเลยครับ
18. สิ่งนึงที่ผมห่วงคือวัสดุที่เป็นไม้ ถึงจะเป็นไม้สักทองทั้งหลังแต่ซักวันมันก็ต้องผุกร่อนไปตามกาลเวลา ศิลปะที่อยู่บนผนังถูกจับต้องลูบคลำอยู่ทุกวัน ไหนจะตากแดดตากฝน บอกตรงๆว่าเสียดายถ้ามันจะมีอะไรหักไปซักชิ้นเพราะศิลปะเหล่านี้มันประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้จริงๆ
19. เด็กสาวชาวพม่าคนนี้เดินขายมาลัยไหว้พระอยู่บนพระตำหนักครับ มาลัยไหว้พระของชาวพม่าจะไม่เป็นพวกใหญ่ๆเหมือนของคนไทยนะครับ เค้าจะเอาดอกมะลิมาเสียกับเส้นด้ายให้รอบวงแค่นั้นเอง ไม่มีตุ้ม ไม่มีดอกรัก ไม่มีจำปี ผมจำราคาที่เธอขายต่อพวงไม่ได้แล้วแต่ก็ไม่ได้แพงเท่าไรนัก แน่นอนว่าลูกตื้อของเธอเกือบทำเอาผมเสียเงินจ๊าดใบแรกซะแล้ว
20. แต่ถึงจะไม่เสียท่าให้เด็กสาวที่ขายมาลัยอยู่บนพระตำหนัก แต่ผมก็มาเสียค่าให้กับงานศิลปะชิ้นนี้จนได้ ภาพพวกนี้ถูกวาดขึ้นจากหมึกที่มีอุปกรณ์ที่ใช้วาดเป็นใบมีดโกน ใช่ฮะภาพวาดจากใบมีดโกนสิ่งแปลกใหม่ในชีวิตของผมที่เพิ่งได้เห็นที่นี่เป็นครั้งแรก ความรู้สึกว่า 1000 จ๊าดกับงานศิลปะ 1 ใบ มันไม่แพงเลย ..
ปล.ตอนที่ขึ้นรถจากสนามบินไกด์เอาเงินพม่ามาให้แลกโดยคิดค่าเงินตีเป็นเงินไทยว่า 1000 จ๊าดเท่ากับ 40 บาท ถ้าแลกไปเองอาจจะไม่ถึงนะครับ
21. ต่อไปเราจะไปเที่ยวชม “วัดกุโสดอ” กันครับ แน่นอนว่าวัดนี้พระเจ้ามินดงอีกนั่นล่ะที่ทรงสร้างขึ้น หลายคนเริ่มสงสัยว่าแล้วพระเจ้ามินดงมีความสำคัญยังไงถึงสร้างนั่นสร้างนี่เยอะแยะ พระเจ้ามินดงกษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญาองค์นี้เป็นผู้ย้ายราชธานีจากกรุงอังวะมาเป็นมัณฑะเลย์เนี่ยล่ะครับนั่นเลยเป็นที่มาว่าทำไมสิ่งก่อสร้างหลายหลากถึงมีชื่อพระองค์เป็นคนสร้าง
22. ทีนี้ความน่าสนใจของวัดกุโสดอก็คือที่นี่เป็นที่ที่พระเจ้ามินดงโปรดฯให้มีการจัดสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 ของโลกขึ้น โดยทรงให้จารึกพระไตรปิฎกจำนวน 84,000 พระธรรมขันธ์ลงบนแผ่นหินอ่อน 729 แผ่น ซึ่งก็อยู่รายล้อมรอบๆเจดีย์กุโสดอซึ่งทำเลียนแบบพระมหาเจดีย์ชเวสิกองแห่งเมืองพุกามนั่นเอง
23. ถ้าเอามาทำเป็นหนังสือนี่น่าจะเป็นหนังสือเล่มที่ใหญ่ที่สุดเล่มนึงในโลกแน่ๆฮะ แค่มองจากภาพจำลองด้านบนก็เห็นถึงความใหญ่โตแล้ว
24. คิดดูว่ากว่าจะสลักพระธรรมขันธ์ได้ครบทั้งหมดต้องใช้เวลายาวนานขนาดไหน และพระไตรปิฎกนี้จะอยู่คู่โลกของเราไปอีกนานแสนนาน
25. ถึงเวลาของไฮไลท์สุดท้ายของวันแล้วครับ จุดหมายสุดท้ายของวันนี้เป็นการขึ้นไปสักการะพระธาตุและชมวิวของเมืองมัณฑะเลย์มุมสูงบนยอดเขามัณฑะเลย์ฮิลล์ฮะ การขึ้นไปบนยอดเขานี้มีหลายทางครับ หนึ่งจอดรถทัวร์ไว้ตีนเขาแล้วนั่งรถสองแถวขึ้นมา(พวกเราเลือกทางนี้) สองเดินตามบันไดขึ้นมาน่าจะเป็นพันขั้น สามเดินตามทางรถขึ้นมา(เห็นคนพม่าเดินขึ้นกันทางนี้เพียบ)
26. เมื่อขึ้นมาถึงที่จอดรถด้านบนก็มีทางให้เลือกอีกแล้ว คราวนี้มีสองทางเลือกที่จะขึ้นไปบนตัวเจดีย์บนยอดเขา ทางแรกสะดวกสุดๆไม่น่าเชื่อว่าที่นี่เค้าจะอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวขนาดนี้นั่นก็คือลิฟท์ .. ทางที่สองซึ่งผมเลือกแบบเสียไม่ได้เพราะว่าคนรอลิฟท์เยอะมากนั่นคือการเดินซึ่งก็ไม่ได้เหนื่อยเท่าไหร่นัก แต่ก็ดีที่ได้เห็นชาวบ้านเค้าตั้งร้านขายของฝากของใช้กันเยอะแยะ เห็นแล้วก็คิดถึงวัดแถวๆอยุธยาเหมือนกันฮะ
27. ผมลืมบอกไปว่าเมื่อลงจากรถสองแถวสิ่งที่เราต้องทำอย่างแรกคือถอดรองเท้าไว้ที่รถฮะ เหตุผล.. หนึ่งกันหาย สองข้างบนไม่ให้ใส่ขึ้นไปอยู่แล้ว อีกสิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับคนที่มีกล้องไม่ว่าจะเป็นกล้อง iPad กล้องดิจิตอล หรือกล้องโปรคือเงินที่ต้องเสียค่าเอากล้องเข้าครับ ที่นี่คิดเบาะๆ 1000 จ๊าดแล้วหลังจากนั้นจะถ่ายอะไรก็ตามสบายเลยครับ
บนมัณฑะเลย์ฮิลล์นี้มีเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุอยู่ครับ
28. สิ่งนึงที่เห็นได้ตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็คือ คนพม่าชอบเที่ยววัดกันมากเรียกได้ว่าไม่ได้ไม่ดีก็พากันเข้าวัดเหมือนคนไทยเดินเข้า 7-11 เลยทีเดียว
29. สิ่งที่เล่ามาทั้งหมดผมไม่ได้คิดดูถูกเมืองเค้านะครับ แค่เล่าให้เห็นว่าเมืองเค้ายังด้อยความเจริญกว่าเมืองไทยเยอะมาก แต่สิ่งนึงที่ผมคิดว่าเค้าเด่นไม่แพ้คนไทยหรืออาจจะมีมากกว่าคนไทยด้วยซ้ำนั่นคือน้ำใจครับ
ในขณะที่ผมกำลังเดินถ่ายรูปอยู่รอบๆนั้นก็มีชายแก่ๆคนนึงยื่นพัดนี้มาให้ เค้าไม่ได้พูดอะไรแต่ทำท่าทำทางว่าเห็นผมร้อนก็เลยเอาพัดมาให้เผื่อจะทำให้เย็นขึ้นได้บ้าง .. เชื่อมั๊ยครับว่าผมรู้สึกดีกะคนพม่าทั้งประเทศขึ้นมาทันทีเพราะลุงแก่ๆคนนี้นี่เอง ปกติผมเป็นคนขี้ร้อนมากครับทำอะไรนิดหน่อยก็เหงื่อแตก ต้องมีผ้าขนหนูติดตัวไว้เช็ดเหงื่อตลอด แกคงเห็นผมเดินถ่ายรูปไปเช็ดเหงื่อไปแกเลยเอาพัดมาให้ นี่เป็นหนึ่งความประทับใจที่ผมมีให้กับประเทศนี้ครับ
30. เสียดายว่าวันที่ไปอากาศปิดครับ ขึ้นไปดูวิวด้านบนแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็ยังดีที่ช่วงเย็นๆมีฟ้าสีสวยๆให้กดชัตเตอร์กลับมาบ้างก่อนจาก
ตอนลงนอกจากมีสองทางเลือกที่บอกยังมีอีกทางเลือกนะครับนั่นคือบันไดเลื่อน จริงๆมันคงแล้วแต่วันด้วยล่ะว่าเค้าจะเปิดให้ขึ้นหรือลงถ้ามีโอกาสได้ไปก็ลองเลือกกันดูครับ
31. พูดถึงอาหารการกินนิดนึงครับ หลายๆคนค่อนข้างกังวลเรื่องอาหารการกิน ถ้าให้เลือกก็คงเข้าร้านอาหารที่ดูดีหน่อย อย่าพยายามเลือกกินของข้างทางถ้าไม่มั่นใจนะครับ คุณอาจจะเที่ยวไม่สนุกเพราะท้องร่วงอย่างเพื่อนร่วมทริปของผมบางคนก็เป็นได้ฮะ
ดีที่ทัวร์เค้าจัดอาหารดีๆให้เราทานทุกมื้อครับ สิ่งที่หลายๆคนมาพม่าแล้วต้องได้ทานคือกุ้งแม่น้ำเผาครับ มื้อแรกปรับระบบกันก่อนด้วยการทานอาหารไทยที่ร้าน Ko’s Kitchen ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยชื่อดังของเมืองมัณฑะเลย์ครับ อาหารไทยร้านนี้อร่อยๆทั้งนั้นเลย
32. อิ่มแล้วก็ได้เวลาเข้าที่พักครับ ที่พักของเมืองมีหลายระดับราคาครับแต่ตั้งแต่พม่าเปิดประเทศก็เหมือนค่าครองชีพของเค้าจะสูงขึ้นตาม โรงแรมที่จากแต่ก่อนราคาถูกมากกลับกลายเป็นแพงมากไปซะอย่างนั้น คืนนี้เรานอนกันที่โรงแรมมัณฑะเลย์ฮิลล์ รีสอร์ท หนึ่งในโรงแรม 5 ดาวที่ดีที่สุดของมัณฑะเลย์
33. ล็อบบี้ ห้องอาหารอลังการเหมือนวันนี้ทั้งวันเราหลุดไปอยู่โลกไหนมาไม่รู้ ฮ่าๆๆ
โรงแรมใหญ่มากครับ มีสปา มีโชว์ มีอินเตอร์เน็ต(อันนี้สวรรค์ที่สุด) แอบแว่วๆมาว่าโรงแรมนี้เป็นของคนไทยไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่านะครับ
34. ห้องพักดีกว่าที่คิดเอาไว้มากจริงๆครับ ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพที่ดี ห้องน้ำถึงจะเก่าไปนิดแต่ก็มีอ่างเล็กๆให้แช่น้ำด้วยนะครับ บอกเลยว่าคืนนั้นหลับเป็นตาย ..
35. เช้าวันรุ่งขึ้นไกด์นัดเราให้ออกจากโรงแรมแต่เช้า บอกตรงๆว่าเสียดายมากที่ต้องลุกจากเตียงเพื่อเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม อาหารเช้าไปกินกันในรถครับ ทางโรงแรมจัดอาหารกล่องไว้ให้ไปกินในระหว่างเดินทาง
ใช่แล้วครับ … เราจะไปพุกามกัน
36. ถนนที่เห็นนี่คือถนนเส้นหลักระหว่างเมืองที่ผมบอกครับ มันเป็นถนนที่พาเราไปถึงกรุงเนปิดอว์ได้ ไปย่างกุ้งก็ได้แต่ระยะทางมันค่อนข้างไกลมากพอสมควร และเนื่องจากพม่าเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อนรถยนต์ของที่นี่จะขับพวงมาลัยซ้าย วิ่งบนเลนขวา และระยะทางก็จะบอกเป็นไมล์ไม่ได้เป็นกิโลเมตรเหมือนเมืองไทยฮะ
37. แต่ถ้าไม่ใช่ถนนเส้นหลักหรือเส้นในเมืองถนนก็จะเป็นอีกแบบเลยครับ อย่างพอรถของเราแยกจากถนนหลักเข้ามาแล้วทางก็จะเป็นแบบในภาพคือเป็นถนนลาดยางเล็กๆที่วิ่งได้เลนเดียว นานๆทีถึงจะมีรถวิ่งสวนกันซักคันก็ใช้ขอบทางอาศัยหลบหลีกกันไป ทางก็กระเด็นกระดอนกันไปบ้างสนุกไปอีกแบบ
38. แล้วถนนที่ขับผ่านๆมานี่ไม่ใช่ว่าจะขับผ่านกันฟรีนะฮะ เค้าจะมีด่านเก็บค่าผ่านทางอยู่เป็นระยะๆทั้งถนนหลักถนนรอง
39. นี่ก็ด่านฮะ แต่เป็นด่านมนุษย์ตอนแรกผมสงสัยมากว่าพอรถวิ่งผ่านทำไมเค้าต้องทำท่าเก็บกวาดถนนกันแต่ละคนจะมีกองหินคนละกองวางไว้เป็นสัญลักษณ์ รู้มั๊ยครับว่าทำไม .. ผมมาเข้าใจเอาตอนที่รถขับผ่านคนพวกนี้เค้าจะกวักมือเรียกขอเงินจากเราฮะแต่แทบจะไม่มีรถคันไหนที่แวะหรอกนะผมว่า ที่เค้าทำแบบนี้คงเพราะไม่ค่อยมีกินมีใช้กันล่ะมั้งครับ เลยมาทำทีว่าเก็บกวาดถนนให้นะ(ถนนตรงนั้นเป็นเหมือนถนนน้ำล้นที่ตอนนี้แห้งขอดไปหมดแล้ว) ให้คุณได้สัญจรไปมาได้เพราะฉะนั้นขอค่าอำนวยความสะดวกหน่อยอะไรประมาณนั้น แปลกดีเนอะ
40. ไม่ว่าจะในเมืองใหญ่หรือเมืองเล็กๆที่เราขับรถผ่านสิ่งที่เราจะเห็นได้เยอะและบ่อยที่สุดก็คือร้านค้าริมทางประมาณนี้ครับ ตอนแรกคิดว่าเป็นร้านยาดอง ฮ่าๆๆ ที่จริงร้านพวกนี้เป็นร้านขายหมากไม่ก็ร้านน้ำชาครับ คนพม่าส่วนใหญ่ยังคงทานหมากกันอยู่เยอะไม่ว่าจะวัยรุ่นหรือคนแก่ก็ยังคงเคี้ยวหมากกันอยู่
41. คนพม่านิยมกินชาใส่นมเป็นอาหารเช้ากันครับ คงเหมือนๆกับสภากาแฟบ้านเราที่มานั่งจับกลุ่มคุยนั่นนี่กันจิบชาไปด้วย ถามไกด์ว่านอกจากชาแล้วเค้าทานอะไรกันเป็นอาหารเช้าไกด์บอกว่าขนมจีนครับ แต่เค้าคงมีชื่อเรียกของเค้าล่ะ
42. สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับชีวิตคนพม่า ใบพลู ที่ใช้กินกับหมากฮะ
43. ตามร้านพวกนี้มักจะขายอยู่ด้วยกันฮะ เค้าจะนั่งทำขายกันเป็นคำๆไปแล้วแต่ว่าใครจะซื้อกี่คำมันกันเดี๋ยวนั้น
44. คนพม่าส่วนใหญ่อัธยาศัยดีนะครับ ยิ้มแย้มแจ่มใส เค้าเห็นพวกเราถือกล้องถ่ายรูปกันเค้าก็มองแปลกๆ แต่พอยกกล้องจะถ่ายรูปเดินหนีกันหมด ฮ่าๆๆตลกดี
45. คนพม่าโดยเฉพาะผู้หญิงมักจะใช้วิธีเทิร์นของขึ้นบนหัวแบบในภาพฮะ ไปที่ไหนๆก็มักจะเห็นภาพเหล่านี้จนชินตาเรียกได้ว่าถ้าจะประกวดนางงามนี่ไม่ต้องมาดัดบุคลิกเรื่องหลังค่อมกันเลย
46. เมื่อพวกเรามาถึงพุกามคณะของเราก็ได้รับการต้อนรับจากเด็กๆเหล่านี้ ทุกคนจะมีโปสการ์ดไม่ก็รูประบายสีมาขายกันทุกคน ถูกบ้างแพงบ้างได้เยอะบ้างได้น้อยบ้างแล้วแต่คน แต่ละคนก็ตื้อเก่งมาก มีถึงขั้นบีบน้ำตามาขายก็มีเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้พวกเราบางคนก็เลยได้โปสการ์ดกลับเมืองไทยกันตรงนี้ สำหรับผมไม่ได้อุดหนุนหรอกครับแต่ก็รู้ว่าจะต้องมาเจอเด็กๆแบบนี้ก็เลยเตรียมเอาลูกอมมาแจกเพราะรู้ว่าเด็กพวกนี้คงหาโอกาสกินขนมดีๆได้ไม่มากนัก อย่างภาพที่เห็นพวกเราก็เอากล่องอาหารเช้าของโรงแรมที่มัณฑะเลย์ที่ไม่ได้ทานลงมาแจก สภาพก็อย่างที่เห็นคือให้เรียงคิวเข้ามาก็ไม่เรียงแย่งกันอุตลุด
47. ทีนี้ก็ได้เวลาออกเที่ยวฮะ จุดแรกน่าเข็กกะโหลกตัวเองมากๆ รูปหายครับ เป็นจุดสำคัญซะด้วยนั่นก็คือ “พระมหาเจดีย์ชเวซิกอง” 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพม่า ที่จริงรูปมันหายทั้งทริปจากความสะเพร่าของตัวผมเอง ยังดีที่กู้มาได้เกือบหมดจะหายไปก็เป็นช่วงแรกที่มาถึงเมืองพุกามครับ
จุดนี้เป็นจุดที่สอง Alo Taw Paya หรือ อลอต่าวพเย ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าเป็นวัดหรือศาสนสถานอะไรแต่ที่นี่ก็น่าจะมีความสำคัญไม่น้อยเพราะว่าคนพม่าเข้ามาเที่ยวกันเยอะเลยฮะ ผมเองมาค้นพบที่นี่ว่าการเดินเท้าเปล่าเที่ยววัดของคนพม่าทำไมเค้าเดินกันเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว เราเองเท้าจะพองอยู่แล้ว เห็นทางเดินขาวๆมั๊ยครับ นั่นคือหินอ่อนซึ่งถ้าเราเดินบนนั้นมันจะลดความร้อนที่สัมผัสได้เยอะเลยล่ะครับ ไอ้เราก็เดินมั่วตั้วอยู่นานอิฐแดงๆนั่นก็เหยียบเข้าไปร้อนเท้าจะระเบิด ฮ่าๆ
48. ไม่ได้เดินเข้าไปชมด้านในเลยครับเพราะว่าชาวพม่าเดินเข้ามาเที่ยวกันเยอะจริงๆ
49. วัดต่อไปเป็นอีกที่ที่เมื่อมาพุกามแล้วควรต้องแวะเที่ยวครับนั่นคือ Ananda Paya หรือ วัดอนันดา วัดนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นวัดที่มีเจดีย์สวยงามงามที่สุดอีกแห่งของพุกามแถมยังเป็นเจดีย์ที่ใหญ่มากด้วย
50. วัดนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบมอญที่สวยงามมากจริงๆครับ ด้านในมีซุ้มระเบียงทางเดินเชื่อมกัน 4 ทิศมีช่องตามผนังมากมายเป็นพันช่องเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเห็นแล้วรู้สึกขลังมากยังไงไม่รู้ฮะ
51. ทุกทิศจะมีพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ แต่ละองค์จะมีปางไม่เหมือนกันเลยครับ ภายในนี้ดูมืดๆทึบๆแต่ไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนเลยซักนิด ภายในเจดีย์นี้กลับเย็นซะอีกฮะ
52. ไปต่อกันอีกวัดครับ วัดนี้มีประวัติความน่าสนใจไม่น้อยเลยฮะ Manuha Phaya หรือ “วัดมนูหะ”
ประวัติคือ “พระเจ้ามนูหะ”กษัตริย์ของมอญได้สร้างวิหารแห่งนี้ขึ้น พระองค์ทรงตกเป็นเชลยของพระเจ้าอโนรธา เมื่อครั้งที่เมืองสะเทิมเมืองหลวงของชาวมอญถูกตีแตก พระองค์รวมถึงอัครมเหสีและไพล่พลถูกเกณฑ์มาคุมขังอยู่ที่พุกาม และในปี พ.ศ. 1602 พระเจ้าอโนรธาทรงมีพระราชานุญาตให้พระเจ้ามนูหะสร้างวัดขึ้นเพื่อทรงใช้เป็นที่บำเพ็ญพระราชกุศล ให้ชื่อว่าวัดมนูหะ
53. พระเจ้ามนูหะจึงได้ทรงระบายความรู้สึกในพระราชหฤทัยของพระองค์ในระหว่างที่ทรงถูกคุมขัง ด้วยการให้สร้างพระพุทธรูปให้มีขนาดใหญ่โตจนคับวิหาร ที่พระอุระ(หน้าอก)ของพระพุทธรูปก็จะใหญ่โตให้รู้สึกถึงความคับแค้นใจที่ต้องมาถูกคุมขังอยู่ที่พุกามนี้ นอกจากองค์ตรงกลางนี้ก็ยังมีพระพุทธรูปองค์ย่อมลงมาขนาบข้างอีก 2 องค์ และด้านหลังยังมีพระนอนที่สร้างให้คับวิหารเช่นกันอยู่อีก 2 องค์ครับ
54. ข้างๆมนูหะยังมีวัดอีกวัดนึงที่น่าเยี่ยมชมครับวัดนี้ชื่อว่า “วัดนันพญา” ที่น่าเยี่ยมชมเพราะภายในวัดมีวิหารที่รวมศิลปะของหลายๆแขนงเข้าด้วยกัน นั่นคือวิหารนี้สร้างด้วยหินคล้ายไปทางศิลปะแบบขอม แต่โครงสร้างโดยรวมยังคงเป็นศิลปะแบบพุกามที่เป็นพุทธสถาน แต่เมื่อเช้าไปดูภายในกลับกลายเป็นมีกลิ่นไอศิลปะแบบฮินดูนั่นคือมีเสาหินและมีแผ่นหินที่แกะสลักเป็นรูปพระพรหมแบบนูนต่ำคล้ายศิลปะเขมร ก็แปลกดีอีกแล้ว
55. ข้างๆกันก็จะมีเหมือนโรงเรียนปริยัติธรรม ภาพนี้แค่อยากเอามาเล่าว่า พระไทยกับพระพม่ามีอะไรหลายอย่างที่ต่างกันนะครับ ถ้าคนไทยเห็นอาจจะคิดว่าพระพม่าไม่เคร่งในธรรมวินัย เคยเห็นพระพม่าถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิง พระพม่าทำไมไม่โกนคิ้ว พระพม่าทำไมบ่ายแล้วเย็นแล้วถึงยังบิณฑบาตรกันอยู่เลย ที่จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยครับ พระไทยอาจจะเคร่งมากในเรื่องของพระธรรมวินัย แต่พระพม่าจะยืดหยุ่นในเรื่องนี้กว่าเยอะ พระพม่าถ้าจำเป็นต้องถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิงมันถือเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ท่านก็ไม่ถือเป็นปราชิกนะครับ ที่เดินบิณฑบาตรทั้งวันเพราะพระพม่าส่วนใหญ่ฉันมื้อเดียวคนพม่าก็ชอบทำกับข้าวตักบาตรด้วยตัวเองทำทันพระบ้างไม่ทันบ้างพระเลยปรับตัวเข้าหาคนทำบุญก็แค่นั้น
คนพม่าเค้าเห็นพระเป็นมากกว่าตัวแทนที่คอยเผยแพร่พระพุทธศาสนานะครับ ดูได้จากคนพม่าที่ชอบเข้าวัดทำบุญไหว้พระ พระมีอิทธิพลต่อคนพม่ามากกว่าที่เราคิดดูง่ายๆตอนที่มีการประท้วงใหญ่พระพม่านี่เหมือนตัวตั้งตัวตีเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติของเค้า แต่ถ้ามาอยู่เมืองไทยพระโดนด่า
56. ร้านของที่ระลึกแถวนั้นขายของหลายอย่างครับ แต่ที่สะดุดตาก็คงเป็นพวกหุ่นเชิดพวกนี้ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบทั้งคน พระ เจ้ามีหมด แต่ที่เลือกหุ่นพระมาให้ดูเพราะตามที่บอกไว้จากรูปที่แล้ว จะเห็นว่าแม้แต่หุ่นพระก็ยังมีคิ้ว ผมถามไกด์ว่าทำไมพระพม่าถึงมีคิ้วเค้าเล่าว่ามันเป็นเรื่องเล่ามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาครับ แต่ก่อนพระไทยก็ไม่โกนคิ้วเหมือนกันเพราะพระธรรมวินัยบอกว่าให้โกนผมโกนหนวดแต่ไม่ได้ห้ามเรื่องคิ้วไว้ แต่เมื่อตอนเกิดสงครามระหว่าไทยกับพม่าทหารพม่าชอบปลอมตัวเป็นพระเข้าไปสอดแนมในเขตไทย พระมหากษัตริย์เลยให้พระไทยโกนคิ้วให้หมดเพื่อที่จะแยกกันระหว่างพระไทยจริงกับทหารพม่าปลอมตัวเป็นพระ หลังจากนั้นพระไทยก็ถือเป็นข้อปฎิบัติมาตลอดครับ (เรื่องเล่ามานะครับไม่คอนเฟิร์มว่าเรื่องจริงไม่จริง)
57. อีกอย่างนึงที่มาถึงเมืองพุกามแล้วต้องแวะซื้อกลับเมืองไทยเป็นของฝากก็คือ “เครื่องเขิน” ครับ เครื่องเขินทำมาจากไม้ไผ่สานแล้วเอามาลงรักสีดำทำอยู่หลายขั้นตอนมากกว่าจะเสร็จอาจจะมีปิดทองเป็นลวดลาย ฝังมุกเป็นลายสวยงาม ถือเป็นงานหัตถศิลป์ที่ในเมืองไทยก็ไม่เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่แล้วเหมือนกันนะครับ
มีคลิปการทำเครื่องเขินสั้นๆให้ชมด้วยนะครับ
58. ต่อไปเราจะไปเที่ยวต่อที่ “เจดีย์บูพญา” Bupaya Pagoda ครับ เจดีย์นี้จะอยู่บริเวณริมแม่น้ำอิรวดี ตรงนี้จะเป็นท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ที่คนที่นี่เค้าใช้สัญจรไปมากันครับ มีคนเคยกล่าวกันไว้ว่าเมื่อล่องเรือมาถึงเจดีย์บูพญานั่นแสดงว่ามาถึงเมืองพุกามแล้วครับ
59. พุกามเป็นเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำอิรวดีครับ แม่น้ำอิรวดีนี้เป็นแม่น้ำสายหลักของพม่าครับมีความยาวถึงสองพันกว่ากิโลเมตร ต้นกำเนิดอยู่ในจีนแล้วไหลผ่านลงมากลางประเทศของพม่าไปลงทะเลทางตอนใต้ของพม่าเลยครับ แม่น้ำสายนี้ใหญ่มากฮะ ขนาดไปในช่วงน้ำลดยังเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของสายน้ำเลย
60. มาถึงริมแม่น้ำ เรือก็มีก็ต้องล่องเรือชมวิถีชีวิตคนริมน้ำกันหน่อย ชีวิตคนพุกามอยู่กับสายน้ำครับ ไม่ว่าจะอาบน้ำ ล้างรถ ลงเรือ หลายๆอย่างจะเกี่ยวกับน้ำเสมอๆ
61. ผมว่านอกจากเมืองไทยที่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าวแล้วที่พม่าก็อุดมสมบูรณ์ไม่แพ้เมืองไทยนะครับ มาเห็นแม่น้ำใหญ่ขนาดนี้ก็ถึงบางอ้อว่าทำไมคนมาเที่ยวพม่าถึงต้องกินกุ้งเผา เพราะลำน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตจริงๆครับ คนพม่าไม่เคยขาดแคลนอาหารจากแหล่งน้ำนี้ แต่จะมีบ้างทีหากินยากก็เป็นพวกอาหารทะเล ทั้งๆที่ประเทศก็ติดทะเลนะครับแต่ผมว่ามันคงเกี่ยวกับการขนส่งด้วยล่ะมั้ง
62. ตรงนี้ก็เปรียบเสมือนแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำเหมือนกันนะครับอารมณืคล้ายบางแสนอีกแล้ว มีเต้นท์ร้านอาหารเล็กๆ ของที่ขายก็เป็นพวกเทมปุระ(เรียกซะหรู) จริงๆก็เป็นพวกผักพวกกุ้งหอยปูปลาชุปแป้งทอดเนี่ยล่ะครับ
63. ที่จริงมันก็ดีน่ากินไม่ใช่เล่นนะครับ แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างทั้งการเดินทางที่ต้องเดินทางตลอดเวลา ทั้งกลัวว่าท้องไส้จะไม่ดีถ้ากินของที่เราไม่มั่นใจในความสะอาดลงไป งานนี้เลยต้องขอบายฮะ
64. ที่จริงทริปนี้เจออาหารน่าลองหลายอย่างมากเลยนะ แต่กังวลจริงๆก็เลยไม่กล้ากินอย่างเทมปุระข้างบนก็มีคนในทริปซื้อทานกันเหมือนกัน สรุปอีก 2 วันที่เหลือเที่ยวไม่สนุกเลยเพราะต้องให้รถจอดหาห้องน้ำไปตลอดทาง แถมห้องน้ำตามเมืองทางผ่านก็ไม่ใช่จะดีนักถ้าเทียบสุขอนามัยแล้วยังห่างจากไทยเยอะครับ ทางที่ดีอดใจไว้จะดีที่สุดยกเว้นคนธาตุแข็งๆอยากลองก็ตามใจเลยฮะงานนี้
65. ต่อไปถึงเวลาของไฮไลท์สำคัญในทริปนี้แล้วซะทีครับ เรานั่งรถไปกันที่ “เจดีย์ชเวซานดอ” กันครับ เจดีย์นี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่เราสามารถขึ้นไปชมความงดงามของเมืองพุกามได้สวยที่สุดแห่งนึงฮะ
เห็นความสูงของเจดีย์แล้วขาสั่น บอกตามตรงว่ากว่าจะขึ้นไปถึงชั้นที่ 5 ของเจดีย์ก็แอบขาสั่นอยู่เหมือนกัน เจดีย์ชันมากครับสูงมากด้วยเช่นกันหลายคนในทริปก็ไม่กล้าขึ้นไปถึงชั้นสูงสุดเหมือนกันนะครับ ถ้าเอามาเผาแล้วจะฮา
66. ตอนพุกามอยู่ในยุครุ่งเรืองเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “ดินแดนแห่งเจดีย์หมื่นองค์” ครับ แต่หลังจากผ่านมา 2000 ปีเจดีย์ที่เคยสร้างไว้ก็ทรุดโทรมผุพังไปตามกาลเวลาจนเหลืออยู่ประมาณ 4 พันองค์ แล้วเพิ่งมาถูกแผ่นดินไหวเมื่อช่วงปีพ.ศ.2518 ทำให้เหลือเจดีย์อยู่เพียงประมาณ 2000 องค์เท่านั้น
67. จุดชมเจดีย์มีหลายที่ครับ แต่ที่เจดีย์ชเวซานดอจะเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เวลาที่เหมาะจะขึ้นมาชมจะเป็นช่วงเช้าและช่วงเย็นครับ ช่วงเย็นๆแบบนี้ถ้าอากาศดีๆฟ้าเปิดเราจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกหลังเทือกเขาริมแม่น้ำอิรวดีโดยมีฉากหน้าเป็นเจดีย์นับร้อยองค์ครับ
68. เสียดายที่วันที่ไปพุกามอากาศไม่ดีนักเหมือนมีหมอกอยู่ตลอดเวลาเราเลยไม่ได้เห็นช่วงเวลาพระอาทิตย์ลับยอดเขาสวยๆเลย
69. แต่ไม่เป็นไรครับไหนๆก็มาถึงพุกามแล้ว เราเลยขอให้ไกด์พาเรามาที่นี่ใหม่อีกครั้งในรุ่งเช้า เพราะเรารู้ว่ามันจะมีของดีของเด็ดที่ไม่ควรพลาดให้เราได้ชม
70. อาหารค่ำของที่นี่ก็เป็นร้านที่ทัวร์นิยมไปลงครับ มันดีหน่อยตรงที่มีหุ่นเชิดให้ดูด้วย เรื่อราวส่วนใหญ่ที่นำมาแสดงก็เป็นเรื่องสนุกสนานไม่น่าเบื่อดูเพลินๆเหมือนกันฮะ
71. ดูพุกามเหมือนเมืองทุรกันดาร แต่เรื่องที่พักก็มีแบบดีๆระดับ 4-5 ดาวเหมือนกันนะครับ เราพักกันที่ Bagan Lodge รีสอร์ทเปิดใม่ของเมืองครับ โรงแรมเหนือความคาดหมายมากๆ มีสระว่ายน้ำอารมณ์เห็นตอนแรกอยากแก้ผ้ากระโดดลงไปเลยจริงๆ
72. ห้องพักทำเป็นเหมือนบ้านแฝดครับหลังนึงมีสองห้องทั้งรีสอร์ทมีทั้งหมด 85 ห้อง ถือว่าใหญ่โตพอสมควรเลยล่ะครับ
73. ในห้องพักมีขนาดใหญ่มากครับ เตียงนุ่ม สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีเคเบิ้ลให้ดูมีเน็ตให้เล่น ห้องน้ำใหญ่โตมีอ่างให้แช่น้ำด้วยตะหากอยู่ที่นี่ฟินสุดๆครับ
ปล.ไม่ให้ฟินได้ไงแอบเข้าไปดูราคาตามเวปเอเจ้นท์มาค่าห้องคืนนึงเกือบ 9 พัน
74.นอนสบายๆไม่ทันไรก็ต้องตื่นเพราะเรามีนัดกันที่เจดีย์ชเวซานดอกันอีกครั้ง มองไปเห็นวัดอนันดาเปิดไฟสว่างไสว คิดในใจเล่นๆว่าถ้าเจดีย์ทุกองค์ในพุกามเปิดไฟแบบนี้ล่ะ มันคงเป็นค่ำคืนที่พิเศษสุดๆจริงๆนะผมว่า
75. เมื่อแสงของวันใหม่เริ่มสาดส่องเราก็ได้เห็นความงามของมวลเจดีย์ที่อยู่ตรงหน้า ความงามมันคนละความรู้สึกกับเย็นวานนี้เลยฮะ
77. ไม่นานไฮไลท์สำคัญที่สุดก็เกิดขึ้น บอลลูนที่พานักท่องเที่ยวทยอยกันขึ้นสู่อากาศ
78. นักท่องเที่ยวที่มารอแสงแรกของวันใหม่บนนี้มีมากกว่าตอนเย็นหลายเท่านัก เพราะต่างคนต่างรู้อยู่ว่าไฮไลท์สำคัญอยู่ในช่วงเช้า
79. และนี่เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่น่าจดจำสำหรับการเดินทางมาพม่าในครั้งนี้ครับ ..
80. สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ต้องการขึ้นไปชมความงามบนบอลลูนก็สามารถติดต่อกับทางโรงแรมที่เราพักได้ครับ แต่ก็น่าจะมีให้จองตรงผ่านทางเวปไซค์เหมือนกันนะครับ สำหรับระยะเวลาบนบอลลูนน่าจะอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงครับ
81. ราคาค่าบริการน่าจะอยู่ประมาณ 300 เหรียญสหรัฐ +- นิดหน่อยครับ ที่พุกามมีบอลลูนให้บริการอยู่ 2 เจ้าคือเจ้าสีแดงกับเจ้าสีน้ำเงิน ลองหาข้อมูลดูนะครับถ้าสนใจ
82. อ้อ .. มีเรื่องอันซีนอีกเรื่องของบอลลูนพวกนี้ครับ เห็นรถบัสในภาพมั๊ยครับตอนแรกผมคิดว่าเป็นรถโรงเรียนที่จริงแล้วเป็นรถที่คอยขับตามบอลลูนพวกนี้ครับ บอลลูนพวกนี้มันกำหนดจุดลงตายตัวไม่ได้ประมาณว่าคนบังคับทิศทางและลมบนบอลลูนจะหาที่ว่างๆแล้วพยายามให้บอลลูนตกลงในจุดที่ปลอดภัย ทางบริษัทเค้าก็จะมีพนักงานวิ่งตามบอลลูนครับ ฟังไม่ผิดฮะผมเห็นกะตาเลยว่าน่าจะวิ่งกันเป็นกิโลได้กว่าจะเอาบอลลูนลงพื้นได้ปลอดภัย เห็นแล้วก็เหนื่อยแทนคนทำอาชีพนี้จริงๆครับ
83. เมืองพุกามยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกเยอะแยะมากมายครับ หลายๆที่พวกเราเองก็ยังไม่ได้แวะไปเที่ยวเนื่องจากเวลาจำกัด หวังว่าต่อไปคงมีโอกาสได้กลับไปเที่ยวพุกามอีก บอกตรงๆว่าหลงเสน่ห์เมืองนี้เล็กๆนะครับ
84. เราเดินทางกลับไปที่เมืองมัณฑะเลย์อีกครั้ง ไม่แน่ใจว่าผมบอกหรือยังว่าระยะทางระหว่างมัณฑะเลย์กับพุกามห่างกันเท่าไหร่ ผมบอกเป็นระยะทางเป๊ะๆไม่ได้ แต่ผมรู้ว่ามันต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง พุกามเป็นเมืองที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมัณฑะเลย์ครับเมื่อมาถึงมัณฑะเลยเราก็แวะไหว้พระกันต่อเลย วัดนี้ชื่อ”วัดตอจี” อยู่ตรงเชิงเขามัณฑะเลย์ฮิลล์เลยล่ะครับ วัดนี้มีพระพุทธรูปหินอ่อนองค์ใหญ่ให้สักการะ
85. อีกอย่างที่ผมสังเกตได้นอกจากคนพม่าชอบเที่ยววัดแล้วก็คือเค้าชอบเข้ามานั่งๆนอนๆ นั่งสวดมนต์ บางคนก็มากวาดลานวัดภาพแบบนี้จะเห็นจนชินตาถ้าได้เข้ามาเที่ยวพม่าครับ
86. ของที่ขายอยู่ตามวัดบางอย่างก็น่าสนใจมากนะครับ อย่างเช่นไม้หอมแกะสลักนี้ทำกันให้เห็นเลยว่ามีฝีมือขนาดไหน ราคาไม่ได้ถามมาแต่ผมว่าก็คงไม่แพงมากนักหรอกฮะ
87. ผลงานเมื่อเสร็จออกมาแล้วจะเห็นว่าฝีมือก็ไม่ธรรมดานะฮะ
88. สำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพเด็กๆเหล่านี้คงทำให้คุณๆมีภาพถ่ายแนวนี้เยอะแยะครับ เด็กพวกนี้จะพบเห็นได้แทบจะทุกที่ หน้าตาเนื้อตัวมอมแมมที่สำคัญชอบให้ถ่ายรูปด้วยนะ ถ่ายเสร็จหันกล้องให้ดูก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
89. ถามถึงของฝากที่หลายๆคนต้องเอากลับเมืองไทยคงหนีไม่พ้น”ทานาคา” ผงไม้สมุนไพรที่ทำหน้าที่เหมือนแป้งที่คนพม่าชอบใช้ทาหน้าตาตัวกัน คนพม่าผิวหน้าดีมากนะครับเพราะว่าเค้าใช้ทานาคากันตั้งแต่เกิด จนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วเค้าก็ยังทากันอยู่ มีให้เลือกหลายอย่างนะครับทั้งมาเป็นท่อนเอาไปบดเอง มาเป็นผง มาเป็นแป้ง เป็นน้ำสารพัดการแปลรูป แน่นอนว่าอันนี้แม่ยายผมฝากซื้อแบบผงครับขนซะเกือบหมดร้าน ฮ่าๆๆ
90. อีกหนึ่งวิชาชีพที่ได้มีโอกาสแวะชมคือช่างตีทองครับ พม่าเป็นเมืองพุทธที่คนนับถือพระพุทธศาสนาแบบเป็นมากกว่าความเชื่อหรือความศรัทรา ร้านนี้เป็นร้านที่ยังคงใช้คนตีทองคำแทงให้เป็นทองคำเปลวอยู่
91. จากทองคำแท่งตีด้วยกำลังคนไปเรื่อยๆเป็นยกๆไปจนกว่าทองจะเปลี่ยนรูปแบบเป็นเส้นบางๆ แล้วก็ตัดทองเป็นแผ่นๆแล้วก็เอาไปตีเรื่อยๆจนกว่าจะได้ขนาดที่ต้องการ
92. แน่นอนว่ามันต้องบางมากๆ ในขั้นตอนที่ต้องตัดใส่กระดาษเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ฝีมือและความอดทนมากนะครับ หายใจก็คงต้องเบาๆ พัดลมก็เปิดไม่ได้เพราะกลัวทองจะปลิวไปซะก่อน เราอุดหนุนทองคำเปรวจากที่นี่เพราะเช้าวันรุ่นขึ้นเราต้องการใช้ครับ
มีคลิปวิธีทำทองคำเปลวรวมถึงอธิบายการทำไว้ด้วยครับ
93. ร้านอาหารเด็ดๆในมัณฑะเลย์ยังมีอีกร้านนะครับ ร้านนี้เป็นร้านอาหารจีนชื่อดังชื่อว่า “Golden Duck Restaurant” ซึ่งร้านนี้ก็มาสาขาอยู่ที่ย่างกุ้งเหมือนกัน อาหารจานเด็ดแน่นอนว่าต้องเป็นเป็ดย่างหนังกรอบแสนอร่อย ส่วนอาหารอื่นๆเท่าที่ลองทานก็อร่อยใช้ได้เลยทีเดียวครับ
94. ต่อไปเราจะไปเที่ยวนอกเมืองกันไปนิดนึงครับ
95. ก่อนอื่นขอนอกเรื่องนิดนึงฮะ เราอาจจะได้เห็นคนพม่าที่ใส่เสื้อเชิ้ตนุ่งโสร่งกันมาทั้งรีวิวแล้วอาจจะบอกว่าจริงๆพม่าไม่ได้ล้าหลังขนาดนั้นนะครับ คนทั่วไปอาจจะแต่งตัวประจำชาติกันตามปกติ แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่แต่งเนื้อแต่งตัวทันสมัย บางกลุ่มมาเป็นแนวเกาหลีก็มีฮะ พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กยุคใหม่ ไม่กินหมาก ฟังเพลงเกาหลี แต่ตัวดี ย้อมสีผม ไม่ได้มีแต่แบบซอมซ่อซะหมด
96. นี่ใช่มั๊ยที่เค้าเรียกว่าผิวพม่านัยตาแขก
97. มาเข้าเรื่องทีเที่ยวเราดีกว่า เรามาเที่ยว “ทะเลสาบตองตะมาน” กันครับ ทะเลสาบนี้ตั้งอยู่ที่เมืองอมรปุระซึ่งอยู่ติดกับเมืองมัณฑะเลย์ครับ
98. ไฮไลท์ของที่นี่คือ “สะพานไม้อูเบ็ง” สะพานไม้ที่ทอดข้ามทะเลสาบตองตะมานไปวัดจอกตอจีซึ่งมีเจดีย์ที่สร้างเลียนแบบวัดอนันดาเมืองพุกามฮะ ช่วงเวลาที่เหมาที่จะมาเที่ยวที่นี่คือช่วงเวลาเย็นครับ
99. มาถึงสะพานไม้อูเบ็งแล้วสิ่งที่ห้ามพลาดคือนั่งเรือชมความงามของทะเลสาบและสะพานไม้ยามเย็นฮะ
100. สะพานไม้อูเบ็งเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 2 กิโลเมตรฮะ สะพานนี้สร้างจากไม้สักที่รื้อมาจากวังเก่ากรุงอังวะราชธานีเดิมของพม่า โดยใช้เสาไม้สักทั้งหมด 1,208 ต้นมาก่อสร้าง
101. นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมนั่งเรือมาลอยลำรอชมพระอาทิตย์ตกหลังสะพานไม้กันครับ
102. สะพานไม้อูเบ็งได้ชื่อมาจากนายทหารชื่ออูเบ็งที่ได้รับมอบหมายให้มาคุมการก่อสร้างสะพานนี้ครับ
103. สำหรับค่าเรือเราสามารถต่อรองราคาได้ตามใจชอบครับ เที่ยวนึงราคาจะอู่ไม่เกิน 8000-10000 จ๊าด(320-400บาท) เรือลำนึงจะลงนั่งได้ประมาณ 3 คนนะครับ
104. นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
105. คืนนั้นเรากลับไปนอนกันที่โรงแรมมัณฑะเลย์ฮิลล์เช่นเดิมครับ เช้ามาเรามีนัดกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อจะออกไปร่วมพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีกันครับ
106. “พระมหามัยมุนี” 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของประเทศพม่า ตามตำนานบอกไว้ว่า..พระเจ้าจันทสุริยะกษัตริย์ของเมืองยะไข่ได้ทรงสร้างพระมหามัยมุนีขึ้น ต่อมามีกษัตริย์ของพม่าหลายพระองค์ที่ไปตีเมืองยะไข่สำเร็จพยายามจะนำพระมหามัยมุนีกลับมายังเมืองหลวงของพระองค์เนื่องจากได้เห็นถึงความสวยงามขององค์พระแต่ก็ไม่สามารถนำกลับมาสำเร็จนับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโนรธาแห่งอาณาจักรพุกาม บุเรงนองมหาราชแห่งหงสาวดี และอลองพญามหาราชแห่งรัตนปุระอังวะ จนกระทั่งในสมัยพระเจ้าปดุงถึงสามารถเชิญพระมหามัยมุนีมาไว้ที่กรุงมัณฑะเลย์ได้สำเร็จ ซึ่งในปัจจุบันชาวพม่ายังเรียกพระมหามัยมุนีอีกชื่อหนึ่งว่า “พระยะไข่”
มีความเชื่อกันว่าพระมหามัยมุนีเป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต เนื่องจากพระพุทธเจ้าทรงประทานลมหายใจไว้ให้ นั่นจึงเป็นที่มาของพิธีล้างพระพักตร์ในตอนเช้ามืดของทุกๆวัน สำหรับพิธีจะเริ่มในช่วงตี 4 ครึ่งโดยมีเจ้าอาวาสของวัดเป็นองค์พิธีและทำแบบนี้มาองค์เดียวตลอดหลายสิบปีแล้วฮะ
พิธีจะเริ่มจากการเอาผ้ามาคลุมองค์พระ แล้วจะเป็นการล้างพระพักตร์(ในรูป) แปรงพระทนต์ หลังจากนั้นก็จะใช้ผงทานาคาทาให้ทั่วพระพักตร์
107. ในระหว่างพิธีบอกตรงๆว่าผมรู้สึกถึงความขลังฮะ นั่งดูทุกขั้นตอนด้วยความสนใจมุมที่ผมนั่งดูต้องเรียกว่าริงค์ไซส์เพราะว่าผมนั่งทางประตูข้างมุมที่เห็นก็จะเป็นเหมือนรูปด้านบนเลยครับ
108. ถ้าเป็นด้านหน้าที่คนส่วนใหญ่นั่งกันจะมีการจัดที่นั่งด้วยนะครับ ที่นี่นอกจากจะต้องถอดรองเท้าเดินเข้ามาเหมือนกับวัดอื่นๆทั่วไปแล้ว ผู้หญิงอาจจะมีข้อห้ามเพิ่มขึ้นหน่อยตรงที่ห้ามนั่งในโซนด้านหน้าที่เป็นคอกกั้นไว้ครับนั่งได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ส่วนผู้หญิงอนุญาตให้นั่งตรงโซนด้านหลังถัดไปครับ วัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บางทีของพม่าจะเคร่งครัดเรื่องของสตรีที่ห้ามเข้าในบางส่วนของศาสนสถานฮะ
109. หลังจากทาแป้งทานาคาแล้วก็จะใช้ผ้าเช็ดครับ ผ้าที่นำมาเช็ดนี้จะเป็นผ้าที่เหล่าสาธุชนทั้งหลายที่มาร่วมพิธีนำมาฝากให้กับเจ้าพนักงานเพื่อให้เจ้าอาวาสผู้ทำพิธีเช็ดพระพักตร์พระมหามัยมุนีครับ สำหรับในรูปเป็นผ้าของทางคณะของเราครับ หลังจากเสร็จพิธีผมเองก็ได้รับผ้ามาผืนนึงเช่นกันทุกวันนี้ก็บูชาอยู่บนหิ้งพระที่บ้านฮะ
110. พลังแห่งศรัทธา .. ในระหว่างพิธีผมก็ได้มีโอกาสเดินออกมาดูรอบๆครับ จะเห็นทั้งพระและคนทั่วไปนั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิ อธิฐานจิตไปกับพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้ฮะ
111. เมื่อเสร็จสิ้นพิธีล้างพระพักตร์ (หลังจากเช็ดพระพักตร์แล้วจะมีการเอาพัดมาโบกน่าจะเพื่อให้พระพักตร์แห้งแล้วถึงจะจบพิธี)
อีกหนึ่งพลังศรัทธาที่ผมสัมผัสได้ .. คนที่เคยมาแล้วเค้าจะพร้อมใจกันเอาผ้าที่ตัวเองเตรียมมา(คนละผืนกับที่เช็ดพระพักตร์) ปูไว้ที่พื้น เมื่อเจ้าอาวาสที่ทำพิธีลงมาจากฐานองค์พระก็จะเดินเหยียบผ้าเหล่านี้ คนเหล่านี้เค้าก็จะเอาผ้าไปบูชากันครับ
112. หลังจากนั้นก็จะเป็นเวลาของคนทั่วไปที่จะขึ้นไปสักการะพระมหามัยมุนีได้แบบใกล้ชิด แน่นอนว่าคนที่จะขึ้นไปได้จะเป็นผู้ชายเท่านั้นฮะ ทองคำเปลวที่เราซื้อมาเมื่อวานเราก็จะเอามาใช้ในการนี้ล่ะครับ สำหรับผู้หญิงก็ต้องฝากทองคำเปลวให้ผู้ชายขึ้นไปปิดองค์พระให้ครับ
113. ก่อนขึ้นไปผมจำได้ว่าเคยอ่านบทความเจอว่านอกจากมีคำกล่าวว่าพระมหามัยมุนีเป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิตเนื่องจากพระพุทธเจ้าได้ประทานลมหายไจไว้ให้แล้ว ผิวขององค์พระยังนิ่มเหมือนผิวมนุษย์อีกด้วย ขึ้นไปแล้วก็ต้องพิสูจน์ ..
ก็จริงดั่งคำว่านะครับ ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่าองค์พระจะมีผิวกายตะปุ่มตะป่ำอันเนื่องมาจากการปิดทองซ้ำๆกันไปที่องค์พระทุกวันๆ เนื้อที่ว่านิ่มก็คือเนื้อทองคำเปลวที่ปิดทับองค์พระกันลงไปนั่นล่ะครับ แต่อีกความมหัศจรรย์ก็คือไม่ว่าองค์พระมหามัยมุนีจะใหญ่ขึ้นจากการปิดทององค์พระเท่าใด ก็เหมือนพระพักตร์ของพระองค์จะใหญ่ขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจากที่มองๆดูก็มีส่วนจริงอยู่ไม่น้อยครับ
เครื่องประดับมากมายที่อยู่บนพระอุระของพระมหามัยมุนีผมได้สังเกตดูแล้วครับ แทบทั้งหมดเป็นเพชรนิลจินดารวมถึงทองคำจากผู้มีจิตศรัทธาต่อพระมหามัยมุนีนำมาถวายทั้งนั้นครับ ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามามันทำให้ผมเชื่อสนิทใจว่าชาวพม่าเป็นชาวพุทธที่เห็นศาสนาเป็นมากกว่าศาสนาไปแล้วครับ
114. มาถึงจุดหมายสุดท้ายของทริปนี้กันแล้วครับ เราจะกลับไปแถวๆทะเลสาบตองตะมานกันอีกครั้ง คราวนี้เราจะไป “วัดมหากันดายง”
วัดนี้เป็นวัดที่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่เป็นจำนวนมากหลายร้อยองค์ เนื่องจากที่นี่เป็นเหมือนวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศพม่าครับ
115. นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ส่วนใหญ่จะมากันในช่วงก่อนเพลนั่นก็คือประมาณ 10.30น. เพื่อที่จะได้เห็นพระตั้งขบวนแถวเพื่อเข้าโรงฉัน
116. มีคนบอกไว้ว่า(บอกไว้อีกแล้ว) คนพม่าชอบให้ลูกหลานบวชเรียนในโรงเรียนพระมากกว่าเรียนโรงเรียนธรรมดาซะอีก อันนี้ไม่รู้จริงเท็จประการใด แต่เท่าที่ผมเห็นก็จะเห็นเณรเยอะมากกว่าพระมากครับ
117. ใครที่ยังไม่ถึงเกณฑ์บวชเป็นเณรได้ก็จะนุ่งห่มขาวก่อนครับ เรียกว่าเป็นเหมือนช่วงเตรียมอนุบาลของการเป็นเณรก็ได้
118. ภัตตาหารในทุกๆวันจะมีเจ้าภาพซึ่งเป็นคนพม่าที่พอมีกินมีใช้มาเลี้ยงเพลถวายครับ สำหรับนักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าไปในส่วนของโรงฉันได้นะครับได้แต่ยืนถ่ายรูปอยู่ด้านนอก
119. ภาพเด็กตัวเล็กตัวน้อยวิ่งมาขอเศษอาหารจากเณรที่ฉันเสร็จแล้วคงเป็นภาพชินตาของคนที่นี่ แต่เราเห็นแล้วก็อดสงสารเด็กๆเหล่านี้ไม่ได้
120. เด็กๆพวกนี้ผมไม่รู้ว่าเค้าอดอยากกันขนาดไหน แต่เห็นแววตาแล้วก็สงสารถ้ามีเงินติดตัวก็คงหยิบให้ไปบ้างแล้ว
121 อีกหนึ่งภาพความประทับใจ ..
ภาพนี้ถ่ายได้โดยบังเอิญมากๆครับ เณรรูปนี้เดินเอาอาหารที่เหลือจากการฉันมาแบ่งให้ยายแก่ๆคนนึงที่นั่งรออยู่ในมุมเล็กๆข้างหลังโรงฉัน คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากกับรอยยิ้มของผู้ให้ ..
122. สำหรับผม สิ่งสุดท้ายที่จะทิ้งไว้ให้ประเทศแห่งนี้คงเป็นขนมห่อสุดท้ายที่ซื้อเอาไว้เผื่อแจกเด็กๆที่ได้เจอตามที่ท่องเที่ยวต่างๆที่แวะไป เด็กคนนี้อาจจะเด็กเกินกว่าที่จะกล่าวคำขอบคุณให้ผม แต่ผมก็รู้สึกอิ่มเอมใจโดยที่ไม่ต้องได้รับอะไรตอบแทน
123. สุดท้ายผมต้องขอขอบคุณบางกอกแอร์เวย์ที่เชิญให้เข้าร่วมทริปพิเศษๆแบบนี้ ขอบคุณ Go Holiday Tour ที่ร่วมจัดทริปกับทาง PG ทำให้เราได้ไปเที่ยวกันแบบสบายๆ นอนหรู กินดี มีความสุข ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปสิบกว่าชีวิตทั้งฝั่งบล็อกเกอร์ ฝั่งบางกอกแอร์เวย์ ขอบคุณไกด์และคนขับรถรวมถึงเด็กรถที่ต้องเสียเวลาไปกับบรรดาบล็อกเกอร์จอมเลทพวกนี้ ไปไหนก็ตามกลับรถยาก ถ่ายกันอยู่นั่นจนเลยเวลานัดทุกที่
พม่า เมียนมาร์ จะเรียกอะไรก็แล้วแต่มันเป็นประเทศที่อยู่นอกเหนือแพลนของผมมากฮะ ใจอยากไปเที่ยวถ่ายรูปมากๆแต่ก็ไม่มีโอกาสซักที หนึ่งคงเพราะเรื่องของการเดินทางที่คิดว่าน่าจะเอาตัวเองไม่รอด สองคือเรื่องของอาหารการกินที่หลับที่นอน แต่พอได้ร่วมเดินทางไปกับทริปนี้แล้วทุกอย่างที่เคยคิดเคยติดว่าต้องไปไม่ได้ มันไม่สะดวก มันแย่ ทุกๆอย่างมันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยจริงๆ ถึงมัณฑะเลย์กับพุกามจะเป็นแค่เมืองรองความเป็นอยู่อาจจะด้อยพัฒนากว่าประเทศของเรา แต่พม่าก็มีมุมน่ารักๆเยอะนะครับ คนส่วนใหญ่ก็น่ารัก อาหารการกินมีเพียบถึงจะต้องเลือกกินบ้างก็เถอะ ที่ผมทึ่งมากที่สุดเลยคือพลังศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาของคนที่นี่ มันมากกว่าศาสนาจริงๆ มันเป็นความเชื่อ ความเคารพ ความศรัทธา มันคือชีวิตมันแทรกซึมเข้าไปในความเป็นอยู่ของคนที่นี่และมันคงเป็นแบบนี้ตลอดไป
อ้อ.. ผมอาจจะทิ้งขนมไว้ให้เด็กคนนั้น แต่ตัวผมก็ได้กลับเมืองไทยไปไม่น้อยฮะ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความประทับใจ แล้วเราคงได้เจอกันอีก .. พม่า ขอบคุณครับ